ตั้งแต่เกิดมา เราได้รับการหล่อหลอมให้คิด ให้พูด ให้เป็น ตามสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เขาเป็น ... เข้าโรงเรียนต้องเข้าที่นี่ เลือกแผนการเรียนต้องแผนนี้ จะเข้ามหาวิทยาลัย เลือกสาขาวิชานี้สิ หางานง่ายดี
เอาใกล้ตัวมาหน่อย ... ผมทรงเกาหลีไหม ดูเท่ห์ดีนะ หรือ กระโปรงสั้น ๆ สิ ได้ใจดี ... อันกระแสที่ถาโถม คนที่อ่อนไหวจะถูกพัดไปได้ง่าย คนที่ความคิดจากการพิจารณาตัวเอง จะทราบว่า ควรไปทางไหน อย่างไร ให้ตนมีสุข
ท่านชุติปัญโญ ท่านได้เล่าไว้ในข้อเขียนที่จะกล่าวต่อไปนี้ ไว้ในหนังสือ ชื่อ "จะยากอะไร ถ้าอยากให้ใจเป็นสุข" :)
=======================================================
โตขึ้นต้องเป็นเจ้านายคนนะ
โตขึ้นต้องเป็นเจ้าของธุรกิจร่ำรวยให้ได้นะ
โตขึ้นต้องเป็นคนมีเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ให้ได้นะ
โตขึ้นต้องมีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ให้ได้นะ ฯลฯ
คำกล่าวเหล่านี้ ล้วนถูกกรอกข้อมูลไว้ในชีวิตของคนเราเรื่อยมา เพราะไม่ว่ากี่ยุคสมัยผ่านมา ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ความต้องการให้คนเดินตามเส้นทางนี้ก็ยังมีอยู่เช่นเดิม เสมือนหนึ่งว่าเป็นเส้นทางที่ทุกคนต้องเดินตาม ถ้าหากใครปฏิเสธเส้นทางสายนี้ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นบุคคลที่ล้มเหลวในชีวิตโดยสิ้นเชิง
เมื่อก่อนผู้เขียนเองก้เคยเชื่อเช่นนั้น เคยมีความรู้สึกที่จะเดินตามเส้นทางแห่งความเชื่อเช่นเดียวกับใครหลายคนในสังคม เพราะถูกกรอกข้อมูลจากคนรอบข้างมาตลอด จนไม่รู้สึกว่านั่นคืนพันธนาการของชีวิตที่เราไม่มีสิทธิ์เลือกเอง
ผู้เขียนไม่ปฏิเสธว่า สมมติที่ชาวโลกมีนั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราผู้ได้สิทธิ์ของการใช้ชีวิตทำได้มากกว่านั้น ก็คือ "การมีสิทธิ์เลือกเส้นทางเดินให้กับชีวิตของตัวเอง"
อาจจะเป็นเส้นทางที่ไม่หรูหราอย่างที่คนอื่นต้องการให้เป็นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเป็นเส้นทางเล็ก ๆ ที่เดินแล้ว ทำให้รู้สึกดีและมีคุณค่าในขณะที่ก้าวไปก็เพียงพอ
เพราะบางครั้งเส้นทางที่คนอื่นวาดว่าสวยงาม แต่อาจจะต้องก้าวไปด้วยความเดียวดายก็เป็นได้ เส้นทางที่ดูเลิศหรูเมื่อแรกเริ่ม แต่ใครจะรู้ได้ว่าในความวิจิตรนั้น อาจซ่อนไว้ซึ่งภาระอันหนักอึ้งให้แบกหาม
กว่าที่ผู้เขียนจะค้นพบว่า ตัวเองไม่เหมาะที่จะเป็นสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น ก็ต้องศึกษาชีวิตผ่านคำสอนของพระพุทธองค์มากพอสมควร จึงทำให้พบคำตอบที่นำไปสู่อิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ในใจ
หากไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งที่ชื่อว่าพระธรรมอันเป็นคำสอน และไม่มีพระสงฆ์มาคอยกระตุ้นเตือนชีวิตให้ตื่นขึ้นมามองดูทางสายใหม่ ผู้เขียนอาจต้องเดินทางสายเดิมด้วยความจำยอมเช่นในอดีตที่ผ่านมา
ยิ่งเมื่อครั้งได้พบกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในความทรงจำของผู้เขียนที่มีนามว่า "หลวงตาสุริยา มหาปัญโญ" เส้นทางสายใหม่ก็ปรากฎชัดในปัจจุบัน หลวงตาจะสอนเสมอว่า
"เรามิใช่ผลผลิตที่ต้องยึดติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างผู้ไม่รู้ แต่เราควรเรียนรู้จากความไม่รู้ในอดีต เพื่อก้าวไปสู่ความรู้แจ้งที่เป็นอิสระด้วยใจที่มีปัญญา"
เพราะคนเราเมื่ออยู่กับสิ่งใดนาน ๆ ก็มักจะคิดว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นความจริงที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เราต้องอยู่ร่วมจนกว่าจะสิ้นชีวิตไปจากกัน ประหนึ่งว่าเป็นสถาบันทางความเชื่อที่ต้องยอมสิโรราบ สุดท้ายแม้จะมีทางที่ดีกว่าให้เลือก เราก็ไม่รู้จักวิธีที่จะก้าวข้ามความคิดเดิมที่เคยมี
(ภาพจาก http://www.slipkorn.net/download/shawshank.jpg)
ในภาพยนตร์เรื่อง ชอว์แชงค์ (SHAWSHANK) ได้พูดถึงวิถีชีวิตของนักโทษว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร ได้กล่าวถึงมิตรภาพ ความหวัง และความรุนแรงที่เกิดขึ้นในนั้น เป็นภาพที่สะท้อนมุมมองชีวิตที่หลากหลาย บนความเชื่อที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน
แต่มีคนหนึ่งที่น่านำมาศึกษาร่วมกัน คือ ชายที่ถูกสั่งจำคุก ๕๐ ปี ช่วงแรกเขารู้สึกว่าคุกเหมือนนรกบนดิน ทุกอย่างช่างเป็นความทุกข์ทรมานเหลือเกิน ทว่าเมื่ออยู่นานเข้า วิถีชีวิตในเรือนจำก็สอนเขาให้รู้จักปรับตัว และทำใจให้ยอมรับที่จะอยู่กับมัน
เมื่อวันเวลาผ่านไป พร้อมกับการรู้จักทำความดีของเขาเอง เขาได้รับหน้าที่พิเศษคือ ดูแลห้องสมุดในเรือนจำ ทำหน้าที่ส่งหนังสือให้นักโทษที่ต้องการอ่านหนังสือ เขาทำอยู่อย่างนี้ชั่วนาตาปี จนใคร ๆ ก็รู้สึกรักเขา เขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองมีค่า และเป็นคนพิเศษในสายตาของคนอื่น
เมื่อเวลาแห่งการรับโทษสิ้นสุดลง จากคนที่เป็นหนุ่มก็เปลี่ยนสภาพเป็นคนแก่ ทางเรือนจำได้ตัดสินให้เขาพ้นโทษตามกฏเกณฑ์ที่วางไว้ แต่สิ่งที่ชายแก่แสดงออกไม่ใช่ความดีใจแต่อย่างใด เขากลับอ้อนวอนที่จะขออยู่ในเรือนจำต่อไป โดยมีเหตุผลว่า
"ทั้งชีวิตของเขาอยู่กับเรือนจำมาตลอด ทุกอย่างที่นี่เขารู้หมด เป็นเสมือนบ้านที่อยู่มาอย่างยาวนาน และไม่มีความคิดว่าจะมีที่อื่นที่เขาจะเข้าใจมากกว่านี้ เรือนจำแห่งนี้เป็นเสมือนที่เปิดตาของเขา เป็นสถาบันแห่งชีวิตที่ทำให้เขารู้สึกมีค่า และเป็นคนพิเศษของใครหลาย ๆ คน"
ทว่าเหตุผลที่เขาอ้างก็ไม่เพียงพอต่อการร้องขอ ทางเรือนจำต้องปล่อยตามกติกาที่สร้างมา ชายแก่จึงต้องเคลื่อนย้ายชีวิตจากที่ที่เคยอยู่มาถึง ๕๐ ปีสู่โลกภายนอกที่เขาไม่คุ้นเคย แม้โลกใหม่ที่ใคร ๆ ต่างคิดว่าเป็นอิสรภาพ แต่เขากลับมองว่า เป็นโลกแห่งความโหดร้ายยิ่งกว่าคุกที่เคยอยู่มา
ทุกค่ำคืนเขาต้องอยู่อย่างไร้เพื่อน ต้องนอนฟังเสียงของความเหงาที่ดังก้องมาจากจิตใจ ทุกความรู้สึกที่ฟ้องบอก ล้วนทรมานยิ่งกว่าการถูกกักขังในเรือนจำเสียอีก สุดท้ายสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อชีวิตที่เหลืออยู่ก็คือ "การฆ่าตัวตายเพื่อหนีอิสรภาพที่ใครหลายคนคิดว่าดี"
เมื่อพิจารณาเรื่องของชายแก่ที่ติดอยู่ในเรือนจำ บางครั้งก็ไม่ต่างจากตัวเราที่ติดอยู่กับความรู้สึกเดิม ๆ ของตัวเอง เป็นเสมือนกับดักทางความคิดที่คอยทำร้ายเรา เพื่อไม่ให้แหวกว่ายไปสู่สิ่งที่ควรจะไปให้ถึง สุดท้ายจึงยอมรับที่จะอยู่กับความจำเจที่มี เพราะความคุ้นเคยกับโลกใบเก่าของตัวเอง
การติดอยู่กับความคิดเดิม ๆ ที่เรามีอยู่ ประหนึ่งว่าถูกกรอกข้อมูลเพื่อให้รับรู้ว่ามันเป็นเช่นนี้ จนเป็นสถาบันทางความคิดที่เราต้องยึดติด กระทั่งไม่สามารถแกะออกจากใจได้
ถึงแม้จะมีเรื่องอื่น ๆ ที่ดีกว่าให้เรียนรู้ แต่เราก็มักจะพอใจกับสถาบันความคิดเก่า ๆ ที่เคยมีมา โลกใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิมจึงถูกปิดตัวลงโดยสิ้นเชิง
แต่ถ้ารู้จักปรับจิตให้สูงขึ้น และใช้สายตามองออกไปให้ไกลกว่าเดิม เราจะเห็นว่าเส้นทางข้างหน้านั้นมีอยู่ เส้นทางใหม่ที่รอการค้นหามีอยู่อีกมากมาย ที่สำคัญเราสามารถใช้สายตาและสติปัญญาที่มีมองให้ไกลกว่าเดิม แล้วเดินตามเส้นทางสายใหม่ได้ด้วยตัวของเราเอง
เพราะเรามิได้เกิดมาเพื่อเป็นอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็นแต่อย่างใด แต่เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ชีวิตในนิยามใหม่ ที่สามารถต่อยอดจากข้อมูลเดิม เพื่อยกระดับชีวิตให้เป็นอิสระจากอารมณ์ที่คอยควบคุมใจของเรา
การวิ่งตามความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่เสียหาย หากความคิดนั้นช่วยยกระดับชีวิตของเราให้ตื่นรู้และเบิกบาน ซึ่งเป็นสิ่งที่นำไปสู่การพัฒนาปัญญาให้งดงามต่อไป
เราไม่ปฏิเสธว่า รอยทางที่สังคมเป็นอยู่นั้นไม่ดี แต่หากรักที่จะยกระดับปัญญาให้สูงขึ้นกว่าเดิม การทำความเข้าใจ เพื่อต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ ย่อมเป็นหนทางท่เราควรก้าวไป
มิใช่ก้าวไปเพื่อกลับมาเหยียบย่ำสิ่งเดิมให้ตกต่ำ มิใช่ก้าวไปเพื่อทำลายคุณค่าที่ได้มาจากสิ่งที่เคยมี แต่เป็นการก้าวไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า เพื่อกลับมาดูแลสิ่งดี ๆ ที่เคยมีไม่ให้เพี้ยน จนทำให้ต้องตกเป็นทาสของข้อมูลที่ถูกกรอกไว้ในความทรงจำของเราเอง
"เรามิได้เกิดมา เพื่อเป็นอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น" จึงเป็นคำที่ช่วยปลุกตัวเราให้รู้จักตื่นตัว ที่จะกลับมาทบทวนการเกิดของเราเอง และให้รู้จักปฏิวัติที่จะนำพาชีวิตไปสู่วิถีที่ดีกว่า โดยไม่ต้องให้ใครมาคอยบงการเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา
ผู้เขียนเชื่อว่า ทุกคนล้วนมีเป้าหมายในชีวิต แต่ขณะเดียวกัน เราก็ควรต่อยอดเป้าหมายที่มีอยู่ ให้เกิดมูลค่าเพิ่มด้วยปัญญา เพื่อก้าวไปสู่ภาวะที่ปลอดโปร่ง และมีอิสรภาพทางจิตใจอย่างแท้จริง
แม้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะไม่ได้เดินบนเส้นทางที่สวยงามทั้งหมดก็ตาม แต่ก็จะรู้สึกพอใจว่า เส้นทางที่เราเลือกแม้จะไม่สวยหรูอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น แต่ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่า "นี่คือความงดงามเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ในความทรงจำของเรา"
======================================================
ผมเกิดความเข้าใจเมื่ออ่านข้อเขียนของท่านชุติปัญโญ ภาพยนตร์เรื่อง ชอว์แชงค์ (SHAWSHANK) ผมก็ได้มีโอกาสได้ชมแล้ว จึงมีความเข้าใจจิตใจของชายแก่คนนั้น
"เรามิได้เกิดมาเพื่อเป็น...อย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น" ทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเลือกเรียนวิชาโท ในช่วงปี 3 ... พ่อบอกว่า อยากให้ผมเรียนโทภาษาอังกฤษเพราะจะได้นำไปใช้ตอนทำงานได้ แต่ผมอยากเรียนโทรัฐศาสตร์ เพราะผมคิดว่าเรียนแล้วมีความสุข
แต่ในที่สุด ผมก็ตัดสินเรียนโทภาษาอังกฤษตามที่พ่อขอร้องไว้ ผมเรียนได้ไม่ดีนัก ปานกลางถึงต่ำ ทำให้เกิดการฉุดเกรด GPA ลงมา แต่ผมไม่เคยโทษพ่อ เพราะพ่อรักผม ... เรืองนี้ผมทำให้พ่อได้อยู่แล้ว แค่เสียดายที่เกือบได้เรียนโทรัฐศาสตร์ที่ผมมั่นใจในตัวเองว่า ผมจะทำได้ดี
ขอให้ข้อเขียนจงนำประโยชน์มาสู่ผู้อ่านได้ดีที่สุดนะครับ
บุญรักษา ทุกท่าน ครับ
แหล่งอ้างอิง
ชุติปัญโญ (นามแฝง). จะยากอะไร ถ้าอยากให้ใจมีสุข. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: ใยไหม, 2550.
ยินดีจังครับพี่แจ๋ว ... ที่ข้อเขียนนี้ทำให้พี่แจ๋วรู้สึกดี
ขอบคุณมากครับที่แวะมาคุยกับผมอย่างสม่ำเสมอ :)
ขอบคุณสำหรับข้อคิดคะ มีประโยชน์มากเลย...ในทุกวันนี้ ยากนักที่ไม่ติดในบ่วงของกระแส และสังคม....เราต้องพยายาม...ค่อยๆ ทำ ...ถ้าทำได้จะมีความสุขมากเลยคะ..ดิฉันคิดว่าดิฉันเป็นคนหนึ่ง ที่ไม่ยอมให้กระแส และสังคม มาครอบงำได้ง่ายๆ คะ...
เราต้องเกิดมาเพื่อเป็น ...อย่างที่เราอยากจะเป็นคะ..
ขอบคุณครับ คุณ ผุสดี มุหะหมัด ที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ
เราต้องเกิดมาเพื่อเป็น ... อย่างที่เราอยากจะเป็น ครับ
ขอบคุณค่ะ
อาจจะเป็นเส้นทางที่ไม่หรูหราอย่างที่คนอื่นต้องการให้เป็นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเป็นเส้นทางเล็ก ๆ ที่เดินแล้ว ทำให้รู้สึกดีและมีคุณค่าในขณะที่ก้าวไปก็เพียงพอ
ถ้าได้แค่นี้ก็ พอใจแล้วค่ะ
บันทึกนี้ทำให้นึกถึง...กับดัก....ที่เราวางไว้
เราควรยกมันออกไปได้แล้ว
และ....จะให้ใครมาเหยียบกับดักแบบนี้อีก
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
มีความสุขทุกวันนะค่ะ
ขอบคุณครับ คุณ ครูเอ
ขอให้มีความสุขทุกวันเช่นกันครับ :)
สวัสดีค่ะ อาจารย์ Wasawat Deemarn
ชอบหนังเรื่องนี้มาก เป็นเรื่องหนึ่งที่สร้างความประทับใจให้มากๆ แต่ก็ไม่ได้ดูนานแล้ว ครั้งที่แล้วที่ดูน่าจะเกิน 12 ปี เห็นความเพียรและความไม่้ท้อถอยต่อโชคชะตาของคน ได้เห็นความหวัง..
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ อาจารย์ Jeed ครูแก้วตา อาณาจักร์ :)
ขอบคุณมากครับ :)
สวัสดีครับ อาจารย์ กมลวัลย์ :)
ขอบคุณอาจารย์ ครับ :)
สวัสดียามเย็น ขณะฝนพรำพรายค่ะ ท่านอาจารย์ปู่เสือ
* wow morgan freeman ฮีโร่ในดวงใจวัยรุ่นอย่างปูเลยค่ะ
*เส้นทางที่เราเลือกแม้จะไม่สวยหรูอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น แต่ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่า "นี่คือความงดงามเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ในความทรงจำของเรา"
เห็นด้วยกับอ. นะคะ ... สิ่งที่เราตัดสินใจด้วยตนเอง
ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เราก็เกิดความภาคภูมิ ...
กลับไปบ้านที่ผ่านมา ก็พยายามบอกใครๆ ว่า
... คนเราล้วนมีข้อดีด้อยต่างกัน มิสามารถเปรียบเทียบกันได้ ขอเพียงเราพัฒนาดีขึ้นๆ เป็นอย่างที่เราเป็นตามกำลัง เท่านั้นก็สุขใจ ...
จริงไหมคะ ท่านสว. เสือ :)
สวัสดีครับ คุณ poo
จะให้ตอบแฟนพันธุ์แทะว่ายังไงดีล่ะ นอกจากคำว่า "จริง"
คนที่หยุดพัฒนา คือ คนที่ตายไปแล้ว ... หาควรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่
เลือกเส้นทางไหน ก็ต้องสู้ไม่ถอย กับเส้นทางนั้น ห้ามฆ่าตัวตาย หรือ เดินถอยหลังเป็นอันขาด มันน่าละอาย และลดความนับถือตนเองลงไปอย่างมาก
ขอบคุณที่ตั้งสารพัดฉายา จนกำลังงงว่า ตัวเองเป็นใครกันหว่า
ขอบจาย :)
ชอบหนังเรื่อง มิตรภาพ ความหวัง และความรุนแรงมาค่ะ เรียกได้ว่าเป็นหนังในดวงใจเลย เสียดายไม่ได้เก็บแผ่นไว้ มีโอกาสจะหาเก็บไว้ค่ะ และดีใจมากด้วย ที่มีคนชอบหนังเรื่องนี้
ขอบคุณ คุณ tanee ครับ :)