ไม่กี่วันก่อน ได้มีโอกาสอ่านบันทึก ชื่อ "วุ่นวาย และ เงียบสงบ" ของกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง เป็นเรื่องราวที่ดำเนินไปทั้งความวุ่นวาย และความเงียบสงบ
หันหลังให้บันทึกสักครู่ ... เดินไปหยิบหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดมา เป็นหนังสือที่เพิ่งออกให้บริการแก่ผู้ใช้ ผมยืมเป็นคนแรกอย่างบังเอิญ
หนังสือ ชื่อ "ความเงียบ (The Spirit of Silence)" ...
เขียนโดย John Lane , แปลโดย สดใส ขันติวรพงศ์
เป็นหนังสือเชิงปรัชญา กึ่ง ๆ จิตวิทยา ... หนังสือเล่มนี้ ดูแปลกในวิธีคิด
ปกหน้า ออกแบบเป็น Grayscale ดูน่าสะพรึงกลัวปน ๆ กับน่าค้นหาว่า มันคืออะไรกันแน่
ปกหลัง กลับมีคำโปรยว่า ...
"...ความเงียบสามารถสอนให้เรารู้ว่า เราคือใคร
ความเงียบสามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณ และเปิดมุมมองใหม่ให้แก่เรา
ถ้ามนุษย์ปล่อยตนอยู่กับสิ่งที่น่ารำคาญ ยอมให้มันขโมยอิสรภาพภายในของเราไป
และเราต้องสูญเสียความสัมพันธ์กับอิสรภาพภายในแล้วไซร้
เราจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ และชีวิตมีแต่จะถดถอยลงไป..."
ด้วยความสงสัยว่า อะไรคือความเงียบกันแน่ ?
คุณ ปานชลี สถิรศาสตร์ ... เขียน "คำนำ" เอาไว้ในหนังสือ อ่านแล้วมีความรู้สึกว่า ทำไมถึงพรรณนาบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเราในโลกปัจจุบันได้ชัดเจนอย่างนี้นะ โดยเฉพาะคิดถึงคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ หรืออำเภอเมืองที่เป็นสังคมเมือง ... อธิบายแทงใจดำชะมัด
ขออนุญาตยกบางย่อหน้ามา ครับ ....
"...ทุกวันนี้ เรามีชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นรอบตัว เสียงที่ก่อกวนความสงบสุขเกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงยามวิกาล มีผู้คนจำนวนมากถูกรบกวนการพักผ่อนนอนหลับจากสถานบันเทิงใกล้บ้าน หลายคืนเราตกใจตื่นกลางดึก ด้วยเสียงจุดระเบิดเครื่องยนต์จากสามล้อเครื่อง เสียงเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ด้วยความคึกคะนอง แข่งกับเสียงสุนัขเห่าขรมของเพื่อนบ้าน ทำให้นอนไม่สนิทจนรุ่ง ยังไม่ทันเช้า ตึกข้างหลังก็เริ่มมหกรรมก่อสร้าง แม้วันหยุดสุดสัปดาห์ เลื่อยตัดเหล็กไฟฟ้ายังกรีดร้องตลอดวันจนค่ำคืน เสียงขุดเจาะถนนปากซอยกระแทกใส่หูจนแทบคลั่ง จนบ้านไม่เป็นสวรรค์ของเราได้อีกต่อไป..."
"...หลายคนอยากหลบไปเดินพักที่สวนสาธารณะ ก็ต้องเผชิญศักดานุภาพของเครื่องเสียงอันไร้ขอบเขตจากกลุ่มผู้ออกกำลัง เสียงดังจากที่โน่นที่นี่กวนโสตประสาทจนไร้สุข เสียงโฆษณาบนรถไฟฟ้าดังจนปวดหัว เสียงในร้านค้าก็เซ็งแซ่ ตะโกนใส่หูจนรู้สึกไม่สบาย ใครที่มีบ้านอยู่ริมน้ำก็อย่าหมายว่าจะมีวันสงบ เพราะเรือนักเลงส่งเสียงคำรามไปไกลยิ่งกว่า ฟ้าร้อง ยามเจ็บป่วย ไปโรงพยาบาลก็ไม่มีมุมสงบ แม้ในเกาะแก่ง ป่าลึก สุดถ้ำ และหลังเขา เครื่องขยายเสียงกำลังช้างสารยังคุกคามเข้าไปถึง
น่าประหลาดที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ควรจะเป็นเมืองสงบ แต่บ้านเมืองกลับกระหึ่มไปด้วยเสียงต่าง ๆ ที่เร่งเร้าให้เราบริโภคมาก ๆ วัดส่งเสียงเรี่ยไรบุญดังไม่แพ้ตลาดนัด เราถูกรุกรานจากลัทธิที่เร่งให้บริโภค ถูกยัดเยียดด้วยเสียงดังต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา โฆษณาของภาพเคลื่อนไหวอย่างฉับไว และเสียงที่เร้าใจเพื่อจะทำให้หันไปดู ทุกอย่างล้วนแข่งกันตะโกนใส่หูไม่หยุดหย่อน คนยุคอิเล็กทรอนิกส์ มีวัสดุพกพาเสียงไว้ข้างตัวตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเข้านอน จนดูเหมือนว่าจะอยู่โดยปราศจากเสียงร้องเรียกจากโทรศัพท์มือถือไม่ได้..."
"...นับแต่ดนตรีมีกลวัฒน์ เปลี่ยนจากการให้พื้นที่แก่เสียงที่นุ่มนวล เพื่อส่งให้เนื้อร้องมีความตรึงใจ กลายเป็นเสียงดนตรีที่กระแทกกระทั้นแข่งกันส่งเสียงระคายหู เพื่อที่จะประกาศความเป็นตัวตนอันสูงค่า และเทิดทูนอัตตาอันสูงส่ง เพื่อประกาศพลานุภาพอันหยาบใหญ่แห่งแสงเสียง เพื่อกรอกหูซ้ำ ๆ ตอกย้ำว่าเราควรจะบริโภคสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อจะได้เป็นหนุ่มทรงเสน่ห์เร้าใจสาวที่สุดในโลก เพื่อให้เป็นสตรีที่มีผิวขาวยวนใจกว่าใครในปฐพี เพื่อจะยั่วให้เราเสพน้ำอมฤตใหม่ ๆ และหลงใหลในนวัตกรรมแห่งความเร็วของยวดยานแห่งทศวรรษ เพื่อประกาศว่า เรามีชั้นวรรณะอันน่าเกรงขาม
เสียงที่เร่งเร้า และล่อใจเหล่านี้ ทำให้สมองที่กลวงเปล่า ถูกปรนเปรอด้วยกิเลสจนไม่อาจมีพื้นที่คำนึงถึงคุณงามความดีที่จะมีต่อมนุษย์คนอื่นได้ เสียงที่รุกรานเหล่านี้ แม้ไม่ต้องใส่ใจกับเนื้อหา ก็สามารถทำให้สมองของคนปกติตึงเขม็งเครียดเคร่ง คนจำนวนมากถูกย่ำยีจากเสียงดังจนเจ็บป่วย กลายเป็นโรคจิตประสาท จนนำไปสู่การวิวาทและอัตวินิบาตกรรม หากเพียงแต่เรามีเพื่อนบ้านที่มีความอาทรต่อกัน มีสวนสงบให้เราได้เดินพักผ่อน มีพื้นที่ของความเงียบให้เราอยู่ได้อย่างมีสติ มีกฏหมายที่คุ้มครองหูและพิทักษ์ความเงียบของประชาชน เราคงมีความสุขกับการได้อ่านหนังสือเงียบ ๆ แม้เพียงสักเล่ม ดื่มชาอย่างผ่อนคลายในบรรยากาศสงัด ทำงานเงียบ ๆ ได้อย่างสุขุม มีสติที่จะไตร่ตรองชีวิตได้ลุ่มลึกขึ้น และมีจิตเพื่อสาธารณะกว่าเดิม..."
"...ความเงียบนั้นอ่อนโยน นอบน้อม และถ่อมตน ความสงบเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้สมาธิ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตั้งสติ และภาวนา เป็นโอสถให้ดวงจิตหายจากความอ่อนล้า เยียวยาให้ประสาทคลายความตึงเครียด ทำให้เราได้ยินเสียงอันแสนรื่นรมย์ ทว่า ความเงียบกลับเป็นสิ่งที่หายากและราคาแพงสำหรับคนรับความสงบ ความเงียบกลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย น่าหวาดหวั่น
สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ด้วยความว่างเปล่า จำต้องเปลี่ยนความเบื่อไปเรื่อย ๆ ด้วยการใช้เสียงเป็นเพื่อน ผู้ต้องการสิ่งเร้าตลอดเวลา ย่อมเป็นคนมีจิตวิญญาณที่เจ็บป่วย ซึ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกนาที
การเสพติดเสียงดังเป็นโรคร้าย ทำลายจินตนาการอันแจ่มกระจ่าง ทำให้คนขาดน้ำใจที่จะใคร่ครวญเพื่อคนอื่น เราจำต้องต่อสู้กับเสียงดังที่ร้ายกาจดั่งมังกรพ่นไฟร้อยหัว และแตกตัวเร็วเหมือนอะมีบา
หากโลกของเราถูกพิทักษ์ด้วยพระนารายณ์ที่จะเสด็จอวตารลงมาปราบความชั่วร้าย เสียงดนตรีอันกระแทกกระทั้นระคายหูของโลกปัจจุบัน น่าจะทะลวงไปถึงยอดพระสุเมรุ ทำให้ทวยเทพหูตึงไปหมดเสียแล้ว จึงไม่ได้ยินคำร้องทุกข์ของผู้รับความเงียบ แต่ผู้รับความสงบและสันติจะไม่ยอมแพ้..."
"...ความเงียบ คือ สิ่งสงบงาม เป็นแรงบันดาลใจให้รังสรรค์ศิลปะ เป็นกำลังให้จิตเอาชนะความเขลา เป็นกุญแจดอกแรกที่อาจไขความลับแห่งจักรวาลแห่งการเรียนรู้
ถ้อยคำใน The Spirit of Silence นี้ คือ สาส์นที่ส่งถึงผู้รักความเงียบ เพื่อเผยให้เห็นความงามในปัจจุบันอันเรียบง่าย
ความสงบเกิดได้ด้วยความรัก เมตตา และอาทรต่อกัน แม้จะเป็นเรื่องแสนเข็ญ ที่จะทำให้ผู้ส่งเสียงดังมีสติ ลองสงบใจเพื่อเห็นคุณค่าของความเงียบ เพราะวิญญาณของเขาถูกขโมยไปเสียแล้วด้วยปิศาจแห่งกามกิเลส
ขอให้ผู้รักความวิเวกทั้งหลาย มีกำลังใจที่ขอพื้นที่แห่งความเงียบ เพื่อความสงบแห่งจิตวิญญาณ ด้วยความคิดอันกล้าหาญ เพื่อเล่าขานถึงหนทางแห่งไมตรี เพื่อเพ่งพิจารณา เพื่อเอื้ออารีต่อกัน เพื่อลดการแข่งขัน และเลิกเร่งรีบ เพื่อเราจะได้มีห้วงเวลาหาคุณค่าแห่งชีวิต เพื่อให้เสียงกระซิบนี้ ดังอยู่ในใจของผู้รักความเงียบทุกคน..."
คุณปานชลี เขียนได้น่าทึ่งเหลือเกินกับ "อิทธิพลของเสียงที่ดังที่มีต่อมนุษย์ทุกผู้ทุกนามในโลกยุคใหม่"
หนังสือ ชื่อ "ความเงียบ (The Spirit of Silence)" ... ไม่ใช่แต่ความเงียบเท่านั้น ยังหมายถึง ความสงบ การลองอยู่กับตัวเองเพื่อให้ได้มีเวลาคิด มีจิตสำนึกในความรัก เมตตา และเอื้ออาทร เรามีให้กัน ... หาใช่การดำเนินชีวิตหลาย ๆ อย่างดั่งเช่นทุกวันนี้
แค่บันทึกแนะนำ เล่าให้ฟัง จะมีประโยชน์หรือเปล่า ใช้วิจารณญาณของตนตัดสินเอง
บุญรักษา ทุกท่าน ครับ
แหล่งอ้างอิง
สดใส ขันติวรพงศ์, แปล (จอห์น เลน, เขียน). ความเงียบ (The Spirit of Silence).
กรุงเทพฯ: สวนเงินมีมา, 2550.
ขอบคุณท่านอาจารย์ ขจิต ฝอยทอง ที่แวะมาเยี่ยมเป็นท่านแรก ครับ ... หนังสือเล่มนี้ใหม่ แต่คนอ่านคงวงแคบน่าดู ครับ เพราะคำเข้าใจยาก ต้องคิดให้ลึกซึ้ง จึงเข้าใจ ครับ :)
สวัสดีครับอาจารย์ Wasawat Deemarn
ผมชอบถ้อยคำนี้มากเลยครับ..."ขอให้ผู้รักความวิเวกทั้งหลาย มีกำลังใจที่ขอพื้นที่แห่งความเงียบ เพื่อความสงบแห่งจิตวิญญาณ ด้วยความคิดอันกล้าหาญ เพื่อเล่าขานถึงหนทางแห่งไมตรี เพื่อเพ่งพิจารณา เพื่อเอื้ออารีต่อกัน เพื่อลดการแข่งขัน และเลิกเร่งรีบ เพื่อเราจะได้มีห้วงเวลาหาคุณค่าแห่งชีวิต เพื่อให้เสียงกระซิบนี้ ดังอยู่ในใจของผู้รักความเงียบทุกคน..."
อ่านบันทึกนี้แล้ว มีคำหนึ่งผุดมาในใจของผมว่า...ความสุขที่ไม่อิงอาศัยกับสิ่งอื่นเป็นสุขอย่างยิ่ง
ขอบคุณมากครับ
.
.
.
สุขอื่นใด เหนือ สงบ ไม่มี
.
.
.
นึกถึง silence of the lamp ?
สวัสดีครับ คุณ ข้ามสีทันดร
สบายดีนะครับ ... ความสุขอื่นใดไม่เสมอเหมือนความสุขจากการนิพพาน
ขอบคุณครับ :)
ขอบคุณครับ คุณ poo ... คิดถึงภาพยนตร์กันเลยหรือครับ :)
ความเอ๋ยความเงียบที่รัก
ให้ประจักษ์รักแท้อยู่เคียงใกล้
ยามมีหรือไร้คนเข้าใจ
แต่แค่ใจอยู่กับใจแสนสุขจริง
.......................
แด่ความเงียบ...ด้วยความเงียบในใจ
ศีล(ะ) มาจาก คำว่า ศิลา (คนถือศีล ก็คือคนถือ/แบก ก้อนหิน ย่อมต้องเกิดความหนัก-อึดอัดเป็นธรรมดา และคนอื่นก็มักจะหัวเราะเยอะ คนที่แบกก้อนหิน ว่าเดินช้าล้าหลัง แต่ถ้าแบกก้อนหินบ่อยๆ เวลาพายุแห่งอุปสรรค+ความเศร้าโศก พัดพานมา ผู้ที่แบกก้อนหิน จนหนัก(แน่น)ก็ย่อม ไม่ลอยละลิ่วปลิวละล่องไปตามกระแสแรงพายุ(แห่งอุปสรรค/กิเลสตัณหา) และถ้าเราแบกก้อนหินจนคุ้นชินแล้ว ย่อมที่จะไม่รู้สึกหนัก (เท่ากับว่าเรามีศักยภาพมากกว่าคนธรรมดา 1 เท่าตัว) ฉะนั้นเราจงมา ถือศีล (ศิลา) ด้วยกันเถิด @ 10930
ขอบพระคุณครับ คุณ กวิน ที่ได้อธิบายปริศนาธรรมให้ผมเข้าใจมากขึ้น :)
มาอีกรอบ .. เงียบไม่ค่อยเป็นค่ะ
อ่านคห. คุณ ck แล้วจึงมาเรียน
เชิญท่านอ.เสือไปสวด เอ้ย สืบ
ว่า ที่รักมีจริง? ในหนังสือเล่มใหม่
สืบแล้วกรุณาทิ้งร่องรอยด้วยนะคะ
.. ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ล่วงหน้าค่ะ ...
ความเงียบน่ากล้ว ครับ
สวัสดีค่ะ
รับเทียบเชิญ ... และเดินทางไปทิ้งร่องรอยแล้วนะครับ คุณ poo :)
สวัสดีครับ ท่าน ผอ. นายประจักษ์ :)
ความเงียบเหมือนดาบสองคม ไหมครับ
มีทั้งสงบ และ น่ากลัว
ขึ้นอยู่ใจของเราเองครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ พี่หม่อม ดาวลูกไก่ ชื่นชมยินดี ..
หนังสือที่พี่หม่อมแนะนำ CLASSIC นี่ครับ เป็นเล่มที่ต้องใช้สมาธิในการอ่านค่อนข้างสูงครับ แต่ผมก็ยังอ่านไม่จบเลยครับ :)
ความเงียบ....ทำให้นึกถึง การพักผ่อนค่ะ
ชอบค่ะ ยิ่งในวัดที่ร่มรื่มย์ และเงียบจนได้ยินเสียง นก ใบไม้
หรือแม้แต่... การเคลื่อนไหวของจิต....
ขอบคุณค่ะที่ ดึงให้จิตระลึกถึง...ความสงบอีกครา...
นิ่งฟังเสียงหัวใจเรา มันเฝ้าบอกอะไร อะไร
ทักทายจากเมืองไกลปู๊น ค่ะท่านอ. เสือ(สยามเมือง)ยิ้ม
* ในความเงียบ จึงคิดออก ว่าอยากให้อ. เสืออ่าน นี่ค่ะ
…. The Road is never Long between Friends –
การเดินทางคนเดียวในความเงียบ แต่ไม่เคยเหงาค่ะ
... เช่นเคย ... มาแทะย้ำรอย มาคอยสอดแนม ...
หิวแหนมย่าง ส้มตำรูวัดอุโมงค์ ทานข้าวให้อร่อยนะคะ ...
ขอบคุณ มุมมองของ ครูเอ ครับ
เงียบ สงบ ก็ต้อง พักผ่อน ครับ :)
ขอบคุณ คุณ กล้าเกื้อฝัน ครับ
ความเงียบ ทำให้เรามีเวลาได้คิด นึก ระลึกถึง ครับ :)
ตามอ่านอย่างเงียบๆค่ะ ^__^
ขอบพระคุณ อาจารย์ คุณนายดอกเตอร์ ... อย่างเงียบ ๆ ครับ
(ไม่รู้ใครรู้เนอะ อาจารย์ :) 555