การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ทำให้เกิดสถานการณ์ทางสังคมตกที่นั่งลำบาก มีแต่ความคลางแคลงใจระหว่างกัน เพราะไม่แน่ใจว่า คนที่เราคุยด้วยคิดอย่างไร อยู่ฝ่ายไหน
ช่างไม่ต่างจากสมัยหนึ่งที่เกิดความแตกต่างระหว่างระบอบการเมืองสองขั้ว ระหว่าง ประชาธิปไตย กับ คอมมิวนิสต์ ที่ต่างคิดว่า วิธีที่ตัวเองคิด คือ วิธีที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดของประเทศได้
ข้อเขียน "จุดสิ้นสุดของความรุนแรง" ที่เขียนโดย ท่านชุติปัญโญ ได้แสดงให้เรา ๆ ท่าน ๆ ได้เห็น ได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง กลายเป็นข้อเขียนที่ไม่ล้าสมัย แต่ยังคงตามสมัยอยู่ไม่ขาด
ท่านลองอ่านข้อเขียนนี้ไปด้วยกันนะครับ :)
:) ............................................................................................................................... (:
เด็กวัยรุ่นยกพวกตีกัน เพราะเห็นเพื่อนหรือสถาบันของตัวเอง ถูกคนอื่นเยาะเย้ยถากถาง และอ้างว่าเป็นการกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองคืนมา
สามีและภรรยาลงไม้ลงมือเพื่อชนะคะคานต่อกัน ด้วยความรู้สึกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีความผิดที่อภัยไม่ได้
นานาประเทศยิงขีปนาวุธเพื่อทำลายล้างคู่กรณีที่ตัวเองเห็นว่าเขาไม่ยอมทำตามความคิดของตน จึงหมายมุ่งเพื่อจะกำจัดให้หมดสิ้นไป
ผู้คนในสังคมต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จโดยไม่คำนึงถึงวิธีที่ได้มา แม้จะเหยียบคนอื่นให้ต่ำลงก็ตาม ฯลฯ
ภาพการต่อสู้ด้วยการใช้กำลังเข้าประหัตประหารกันด้วยอารมณ์โกรธกริ้ว นับวันจะเป็นภาพที่เราเห็นจนชินตา ถึงจะรู้สึกเอือมระอาในสิ่งที่เห็นอย่างไร แต่ก็ต้องจำใจที่จะอยู่กับมัน
เป็นภาพถ่ายของชีวิตและสังคมที่ฟ้องว่า คนเรามักเข้าข้างตัวเองว่าเป็นผู้มีความประเสริฐกว่าใครทั้งผอง แต่อีกซีกหนึ่งของภาพชีวิตกลับพลิกให้เรามีคำถามขึ้นมาว่า "เราเป็นผู้ประเสริฐกว่าใครอื่นจริงหรือ ?"
เพราะหากมองให้รอบด้านทั้งในอดีตที่ผ่านมา ปัจจุบันที่กำลังดำเนินไป ตลอดทั้งอนาคตที่คาดว่าจะมาถึง มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นภาพรวมของโลก คือ ความรุนแรงที่ไร้ทางออกและไร้วิธีการที่จะเยียวยาให้หายจากโรคาที่เป็น
เราสามารถสัมผัสถึงความรุนแรงที่รุกเร้าเข้ามาในชีวิตของเราได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจเริ่มจากความรู้สึกไม่มั่นใจในความรักที่มี เพราะมีความชิงชังซ่อนอยู่ในความรู้สึกนั้น จึงก่อให้เกิดความหึงหวง กระทั่งเป็นความรุนแรงที่ต้องแสดงต่อกัน
รวมถึงความรุนแรงที่ผ่านความรู้สึกนึกคิด อันเนื่องมาจากความโกรธที่คุกรุ่นในใจ หรือการตอบโต้เพื่อเอาคืนด้วยกำลังล้วนบ่งบอกให้รู้ว่าโลกที่เราอยู่ร่วมกัน นับวันความน่ารักที่เคยมีจะน้อยลงทุกที
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก กล่าวเปรียบเปรยให้เราได้ตระหนักถึงผลร้ายของความรุนแรงไว้ว่า
"ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าในสงครามโลกครั้งที่สาม จะรบกันด้วยอาวุธอะไร แต่ทว่าสงครามโลกครั้งที่สี่นั้น จะรบกันด้วยไม้ตะพดและก้อนหิน"
เป็นข้อคิดที่สื่อให้รู้ถึงความร้ายกาจของความรุนแรงและประชดประชันคนรุ่นหลังที่ควรทบทวนวิธีคิดของตน และควรหาวิธีแก้ไขชีวิตและสังคมให้ดีกว่าที่เป็นมา
เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหน การใช้ความรุนแรงเข้าไปช่วยเยียวยา เพื่อให้ชีวิตและสังคมมีความสงบร่มเย็น ก็แทบจะหาทางออกไม่ได้เลยว่า จะทำอย่างไรให้ต่างฝ่ายไม่ต้องเจ็บตัว
ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ตรัสสอนให้ทุกคนรู้จักอดทนที่จะไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ให้รู้จักอดทนต่อถ้อยคำและการกระทำที่รุนแรง ที่เข้ามาเสียดแทงให้กายและใจเจ็บช้ำ
เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า ความรุนแรง นอกจากไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้ลุกลาม รังแต่จะก่อให้เกิดความพินาศทั้งฝ่ายผู้ลงมือกระทำ และฝ่ายผู้ถูกกระทำอย่างไม่มีที่จบสิ้น
เพราะหากทำร้ายเขา ก็เท่ากับเป็นการก่อเวรภัยไม่มีวันจบ
หากถูกเขาทำร้ายและมีการเอาคืน ก็เป็นได้แค่ตอบสนองให้สะใจเพียงชั่วครู่ แต่เป็นการสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
จุดสิ้นสุดของความรุนแรงจึงเป็นเครื่องหมายแสดงให้รู้ว่า วันหนึ่งที่ยอมให้ความรุนแรงมาแซงหน้าและนำชีวิตของเรา นั่นแสดงว่าเราพร้อมจะเจ็บปวดด้วยกันทุกฝ่ายอย่างคนที่จำยอม
เป็นความเจ็บปวดโดยมีเราทุกคนยอมรับที่จะเป็นผู้โง่เขลา แต่ก็มักเฝ้าบอกตัวเองว่า "เรานี่แหละคือผู้ที่แน่จริง" สุดท้ายจึงเป็นได้แค่คนที่อวดโตเพียงถ้อยคำ แต่ความสุขที่ทำให้ชีวิตและสังคมมีความสงบร่มเย็นได้โบยบินจากไปแล้ว
พระพุทธองค์จึงชี้ทางออกให้ชาวโลกไว้ว่า "เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก" ซึ่งเป็นคู่มือที่จะสานสัมพันธ์โลกที่ปวดร้าวให้มีทางเยียวยา และช่วยประสานสิ่งดีที่มีอยู่ให้ก้าวไปสู่ความสุขสงบเย็นร่วมกัน
เพราะหากทุกฝ่ายคิดต่อกันด้วยเมตตาธรรมที่ช่วยค้ำจุนชีวี เจรจาพาทีต่อกันด้วยวจีที่น้อมความเมตตารักใคร่มาให้ และลงมือเกี่ยวข้องต่อกันด้วยไมตรีที่เปี่ยมด้วยรัก
ความงดงามที่เป็นสงบสุข ย่อมทอแสงเปล่งประกายให้โลกได้มีแสงสว่างของปัญญา และก่อให้เกิดความร่มเย็นได้ ตลอดทั้งก่อให้เกิดความหวังที่จะปลูกโลกใบนี้จากรุ่นสู่รุ่น อย่างคนที่เห็นคุณค่าของกันและกันอย่างน่าชมเชย
จุดสิ้นสุดของความรุนแรงที่ไร้การแก้ไข ย่อมมีจุดจบ โดยมีความปวดร้าวเป็นรางวัลตอบแทน
ส่วนจุดสิ้นสุดของความรุนแรงที่ได้รับการเยียวยาอย่างคนที่ใช้ปัญญา ย่อมนำพาความร่มเย็นมาสู่โลกและชีวิตตราบชั่วนิรันดร์
แล้วเราล่ะ... อยากให้ชีวิตและโลกใบนี้จบลงแบบใด ?
:) ............................................................................................................................... (:
ช่วงนี้ก็ต้องปิดหู ปิดตา ปิดปาก ไว้เสียหน่อย ข่าวสารบ้านเมืองล้วนแต่หาใช่ความจริงแท้ทั้งหมด ล้วนแต่ต้องการสร้างสรรค์ออกมาเพื่อประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น
ติดตามสถานการณ์ มองภาพให้กว้าง ฟังหู ไว้หู อย่ารักใครอย่างโง่ ๆ ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาให้ดี ๆ
สถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้ผมเห็นความสำคัญของ "การศึกษา" ที่ทำให้คนฉลาดคิด ฉลาดทำ มีปัญญา มาทันใด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนดีที่สุด
อย่าหา "ความชอบธรรม" ด้วยเลือดเนื้อของประชาชนเลย
อย่าหาแค่คำว่า "ชัยชนะ" เหนือเลือดเนื้อและน้ำตาของประชาชนเลย
เพราะ "มวลชน" คือ คนทั้งประเทศ
ยุติความรุนแรงกันเถอะครับ ... พระท่านสอนไว้ดีแล้ว
บุญรักษา คนดี :)
แหล่งอ้างอิง
ชุติปัญโญ (นามแฝง). แม้ชีวิตไม่เหลือใคร จงเก็บใจไว้เพื่อตัวเอง. พิมพ์ครั้งที่ 2.
กรุงเทพฯ: ใยไหม, 2551.
"ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าในสงครามโลกครั้งที่สาม จะรบกันด้วยอาวุธอะไร แต่ทว่าสงครามโลกครั้งที่สี่นั้น จะรบกันด้วยไม้ตะพดและก้อนหิน"
ขอบพระคุณครับ ท่านอาจารย์ ขจิต ฝอยทอง ... :)
รณรงค์ "ลดความรุนแรง" กันครับ อาจารย์
"เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก"
ขอบพระคุณท่าน ผอ. นายประจักษ์ มาก ๆ ครับ
รณรงค์ "การใช้ เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก" ครับ :)
"เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก"
... เห็นด้วยมากๆ ค่ะ ... แต่กระนั้น
* การให้อภัย ควรใช้เฉพาะบางเรื่อง? คะ เพราะ
... หากเป็นเรื่องความเสียหายระดับชาติ ...
* ควรจัดการขั้นเด็ดขาด เพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย *
ขอบคุณครับ คุณ poo ที่แวะมาเยี่ยมเยือนและทิ้งความคิดเห็นไว้ให้คิด :)
สวัสดีค่ะคุณ Wasawat Deemarn
ขอบคุณครับ คุณพยาบาล สีตะวัน ...
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"