จุดสิ้นสุดของความรุนแรง ... (ท่านชุติปัญโญ)


"...จุดสิ้นสุดของความรุนแรง เป็นเครื่องหมายแสดงให้รู้ว่า วันหนึ่งที่ยอมให้ความรุนแรงมาแซงหน้าและนำชีวิตของเรา นั่นแสดงว่า เราพร้อมจะเจ็บปวดด้วยกันทุกฝ่ายอย่างคนที่จำยอม..."

การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ทำให้เกิดสถานการณ์ทางสังคมตกที่นั่งลำบาก มีแต่ความคลางแคลงใจระหว่างกัน เพราะไม่แน่ใจว่า คนที่เราคุยด้วยคิดอย่างไร อยู่ฝ่ายไหน

ช่างไม่ต่างจากสมัยหนึ่งที่เกิดความแตกต่างระหว่างระบอบการเมืองสองขั้ว ระหว่าง ประชาธิปไตย กับ คอมมิวนิสต์ ที่ต่างคิดว่า วิธีที่ตัวเองคิด คือ วิธีที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดของประเทศได้

ข้อเขียน "จุดสิ้นสุดของความรุนแรง" ที่เขียนโดย ท่านชุติปัญโญ ได้แสดงให้เรา ๆ ท่าน ๆ ได้เห็น ได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง กลายเป็นข้อเขียนที่ไม่ล้าสมัย แต่ยังคงตามสมัยอยู่ไม่ขาด

ท่านลองอ่านข้อเขียนนี้ไปด้วยกันนะครับ :)

 

:) ............................................................................................................................... (:

 

เด็กวัยรุ่นยกพวกตีกัน เพราะเห็นเพื่อนหรือสถาบันของตัวเอง ถูกคนอื่นเยาะเย้ยถากถาง และอ้างว่าเป็นการกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองคืนมา

สามีและภรรยาลงไม้ลงมือเพื่อชนะคะคานต่อกัน ด้วยความรู้สึกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีความผิดที่อภัยไม่ได้

นานาประเทศยิงขีปนาวุธเพื่อทำลายล้างคู่กรณีที่ตัวเองเห็นว่าเขาไม่ยอมทำตามความคิดของตน จึงหมายมุ่งเพื่อจะกำจัดให้หมดสิ้นไป

ผู้คนในสังคมต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จโดยไม่คำนึงถึงวิธีที่ได้มา แม้จะเหยียบคนอื่นให้ต่ำลงก็ตาม ฯลฯ

ภาพการต่อสู้ด้วยการใช้กำลังเข้าประหัตประหารกันด้วยอารมณ์โกรธกริ้ว นับวันจะเป็นภาพที่เราเห็นจนชินตา ถึงจะรู้สึกเอือมระอาในสิ่งที่เห็นอย่างไร แต่ก็ต้องจำใจที่จะอยู่กับมัน

เป็นภาพถ่ายของชีวิตและสังคมที่ฟ้องว่า คนเรามักเข้าข้างตัวเองว่าเป็นผู้มีความประเสริฐกว่าใครทั้งผอง แต่อีกซีกหนึ่งของภาพชีวิตกลับพลิกให้เรามีคำถามขึ้นมาว่า "เราเป็นผู้ประเสริฐกว่าใครอื่นจริงหรือ ?"

เพราะหากมองให้รอบด้านทั้งในอดีตที่ผ่านมา ปัจจุบันที่กำลังดำเนินไป ตลอดทั้งอนาคตที่คาดว่าจะมาถึง มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นภาพรวมของโลก คือ ความรุนแรงที่ไร้ทางออกและไร้วิธีการที่จะเยียวยาให้หายจากโรคาที่เป็น

เราสามารถสัมผัสถึงความรุนแรงที่รุกเร้าเข้ามาในชีวิตของเราได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจเริ่มจากความรู้สึกไม่มั่นใจในความรักที่มี เพราะมีความชิงชังซ่อนอยู่ในความรู้สึกนั้น จึงก่อให้เกิดความหึงหวง กระทั่งเป็นความรุนแรงที่ต้องแสดงต่อกัน

รวมถึงความรุนแรงที่ผ่านความรู้สึกนึกคิด อันเนื่องมาจากความโกรธที่คุกรุ่นในใจ หรือการตอบโต้เพื่อเอาคืนด้วยกำลังล้วนบ่งบอกให้รู้ว่าโลกที่เราอยู่ร่วมกัน นับวันความน่ารักที่เคยมีจะน้อยลงทุกที

 

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก กล่าวเปรียบเปรยให้เราได้ตระหนักถึงผลร้ายของความรุนแรงไว้ว่า

"ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าในสงครามโลกครั้งที่สาม จะรบกันด้วยอาวุธอะไร แต่ทว่าสงครามโลกครั้งที่สี่นั้น จะรบกันด้วยไม้ตะพดและก้อนหิน"

เป็นข้อคิดที่สื่อให้รู้ถึงความร้ายกาจของความรุนแรงและประชดประชันคนรุ่นหลังที่ควรทบทวนวิธีคิดของตน และควรหาวิธีแก้ไขชีวิตและสังคมให้ดีกว่าที่เป็นมา

เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหน การใช้ความรุนแรงเข้าไปช่วยเยียวยา เพื่อให้ชีวิตและสังคมมีความสงบร่มเย็น ก็แทบจะหาทางออกไม่ได้เลยว่า จะทำอย่างไรให้ต่างฝ่ายไม่ต้องเจ็บตัว

 

ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ตรัสสอนให้ทุกคนรู้จักอดทนที่จะไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ให้รู้จักอดทนต่อถ้อยคำและการกระทำที่รุนแรง ที่เข้ามาเสียดแทงให้กายและใจเจ็บช้ำ

เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า ความรุนแรง นอกจากไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้ลุกลาม รังแต่จะก่อให้เกิดความพินาศทั้งฝ่ายผู้ลงมือกระทำ และฝ่ายผู้ถูกกระทำอย่างไม่มีที่จบสิ้น

เพราะหากทำร้ายเขา ก็เท่ากับเป็นการก่อเวรภัยไม่มีวันจบ

หากถูกเขาทำร้ายและมีการเอาคืน ก็เป็นได้แค่ตอบสนองให้สะใจเพียงชั่วครู่ แต่เป็นการสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

จุดสิ้นสุดของความรุนแรงจึงเป็นเครื่องหมายแสดงให้รู้ว่า วันหนึ่งที่ยอมให้ความรุนแรงมาแซงหน้าและนำชีวิตของเรา นั่นแสดงว่าเราพร้อมจะเจ็บปวดด้วยกันทุกฝ่ายอย่างคนที่จำยอม

เป็นความเจ็บปวดโดยมีเราทุกคนยอมรับที่จะเป็นผู้โง่เขลา แต่ก็มักเฝ้าบอกตัวเองว่า "เรานี่แหละคือผู้ที่แน่จริง" สุดท้ายจึงเป็นได้แค่คนที่อวดโตเพียงถ้อยคำ แต่ความสุขที่ทำให้ชีวิตและสังคมมีความสงบร่มเย็นได้โบยบินจากไปแล้ว

พระพุทธองค์จึงชี้ทางออกให้ชาวโลกไว้ว่า "เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก"  ซึ่งเป็นคู่มือที่จะสานสัมพันธ์โลกที่ปวดร้าวให้มีทางเยียวยา และช่วยประสานสิ่งดีที่มีอยู่ให้ก้าวไปสู่ความสุขสงบเย็นร่วมกัน

เพราะหากทุกฝ่ายคิดต่อกันด้วยเมตตาธรรมที่ช่วยค้ำจุนชีวี เจรจาพาทีต่อกันด้วยวจีที่น้อมความเมตตารักใคร่มาให้ และลงมือเกี่ยวข้องต่อกันด้วยไมตรีที่เปี่ยมด้วยรัก

ความงดงามที่เป็นสงบสุข ย่อมทอแสงเปล่งประกายให้โลกได้มีแสงสว่างของปัญญา และก่อให้เกิดความร่มเย็นได้ ตลอดทั้งก่อให้เกิดความหวังที่จะปลูกโลกใบนี้จากรุ่นสู่รุ่น อย่างคนที่เห็นคุณค่าของกันและกันอย่างน่าชมเชย

จุดสิ้นสุดของความรุนแรงที่ไร้การแก้ไข ย่อมมีจุดจบ โดยมีความปวดร้าวเป็นรางวัลตอบแทน

ส่วนจุดสิ้นสุดของความรุนแรงที่ได้รับการเยียวยาอย่างคนที่ใช้ปัญญา ย่อมนำพาความร่มเย็นมาสู่โลกและชีวิตตราบชั่วนิรันดร์

แล้วเราล่ะ... อยากให้ชีวิตและโลกใบนี้จบลงแบบใด ?

 

:) ............................................................................................................................... (:

 

ช่วงนี้ก็ต้องปิดหู ปิดตา ปิดปาก ไว้เสียหน่อย ข่าวสารบ้านเมืองล้วนแต่หาใช่ความจริงแท้ทั้งหมด ล้วนแต่ต้องการสร้างสรรค์ออกมาเพื่อประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น

ติดตามสถานการณ์ มองภาพให้กว้าง ฟังหู ไว้หู อย่ารักใครอย่างโง่ ๆ ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาให้ดี ๆ

สถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้ผมเห็นความสำคัญของ "การศึกษา" ที่ทำให้คนฉลาดคิด ฉลาดทำ มีปัญญา มาทันใด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนดีที่สุด

อย่าหา "ความชอบธรรม" ด้วยเลือดเนื้อของประชาชนเลย

อย่าหาแค่คำว่า "ชัยชนะ" เหนือเลือดเนื้อและน้ำตาของประชาชนเลย

เพราะ "มวลชน" คือ คนทั้งประเทศ

ยุติความรุนแรงกันเถอะครับ ... พระท่านสอนไว้ดีแล้ว

บุญรักษา คนดี :)

 

 


แหล่งอ้างอิง

ชุติปัญโญ (นามแฝง).  แม้ชีวิตไม่เหลือใคร จงเก็บใจไว้เพื่อตัวเอง.  พิมพ์ครั้งที่ 2.

            กรุงเทพฯ: ใยไหม, 2551.

 

หมายเลขบันทึก: 203876เขียนเมื่อ 27 สิงหาคม 2008 17:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
  • ชื่อหนังสือน่ารักดีครับ
  • แต่ชอบอันนี้มากกว่า
  • "ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าในสงครามโลกครั้งที่สาม จะรบกันด้วยอาวุธอะไร แต่ทว่าสงครามโลกครั้งที่สี่นั้น จะรบกันด้วยไม้ตะพดและก้อนหิน"

ขอบพระคุณครับ ท่านอาจารย์ ขจิต ฝอยทอง ... :)

รณรงค์ "ลดความรุนแรง" กันครับ อาจารย์

 "เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก" 

ขอบพระคุณท่าน ผอ. นายประจักษ์ มาก ๆ ครับ

รณรงค์ "การใช้ เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก" ครับ :)

"เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก" 

...  เห็นด้วยมากๆ ค่ะ  ... แต่กระนั้น

* การให้อภัย ควรใช้เฉพาะบางเรื่อง? คะ เพราะ

...  หากเป็นเรื่องความเสียหายระดับชาติ ...

* ควรจัดการขั้นเด็ดขาด เพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย *

 

ขอบคุณครับ คุณ poo ที่แวะมาเยี่ยมเยือนและทิ้งความคิดเห็นไว้ให้คิด :)

สวัสดีค่ะคุณ Wasawat Deemarn

  • นอกจาก ปิดหู ปิดตา ปิดปาก
  • ข่าวสารบ้านเมืองล้วนแต่หาใช่ความจริงแท้ทั้งหมด
  • แล้วติดตามสถานการณ์ มองภาพให้กว้าง ฟังหู ไว้หู
  • อีกอย่าง ต้องทำใจค่ะ...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
  • "กัมมุนา วัตตีโลโก"
  • ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
  • ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณครับ คุณพยาบาล สีตะวัน ...

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท