ถอยหลังเพื่อก้าวไปข้างหน้า ... (ท่านชุติปัญโญ)


การใช้ชีวิตให้มีความสุขในแต่ละวันของชีวิต หากขาดความเข้าใจความรู้สึกของตัวเองแล้ว ช่างเป็นความยากลำบากยิ่งที่จะทำให้ความสุขเกิดขึ้นได้ เพราะใจที่บอบช้ำและมีบาดแผลแห่งความเจ็บปวดที่คอยกระตุ้นให้ปวดร้าวนั้น ช่างเป็นความโหดร้ายของชีวิตยิ่งกว่าอะไรดี

ยิ่งเมื่อความบาดหมางทางอารมณ์เกิดขึ้นแก่คนที่อยู่ร่วมกันและทำให้ไม่เข้าใจกันด้วยแล้ว ยิ่งเป็นความทรมานกว่าการเจ็บปวดคนเดียว เพราะต้องอยู่ร่วมกันเสมือนว่าไม่รัก ร่วมเคียงข้างทั้งที่ความอึดอัดเกาะกุมใจ เป็นเงาแห่งความบอบช้ำที่ตามทิ่มแทงไม่รู้จบ จึงทำให้ชีวิตมีบาดแผนทางอารมณ์อยู่เรือยมา

แต่ถ้าเรารู้จักวางความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างถูกวิธี วางทิฐิที่คอยเป็นนายบงการชีวิตให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม เพื่อรับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่งที่พยายามอธิบายข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเรา บางทีเรื่องที่คิดว่าเลวร้ายก็อาจมีทางคลี่คลายได้ เพราะทิฐิที่ถูกวางลงย่อมเปิดโอกาสให้ใจเปิดกว้าง และมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่หลังบาดแผลที่เจ็บปวดนั้นเสมอ

ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรหันกลับมามองข้างหลังบ้าง หันกลับมามองจุดเริ่มต้นของคนที่เรารักและเคยเคียงข้างกัน ถือว่า เป็นการย้อนอดีตที่ดีงามเพื่อทำปัจจุบันที่ว้าวุ่นให้สงบลง และทำอนาคตที่จะก้าวไปให้มีอุปสรรคน้อยลงกว่าที่เคยเป็น ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างระหว่างคนที่เรารักและรักเราด้วยความเข้าใจ

 

ผู้เขียนได้อ่านหนังสือเรื่อง "ความโกรธ" ที่เขียนท่าน ติช นัท ฮันท์ พระภิกษุชาวเวียดนาม มีเรื่องหนึ่งที่สะท้อนให้คนเราได้ศึกษาความรู้สึกของตัวเองและคนที่เรารัก โดยผ่านการย้อนอดีตที่ดีงามเพื่อนำมาเป็นครูสอนปัจจุบันและทำอนาคตที่ก้าวไปให้ดีขึ้น

เรื่องที่ว่านี้กล่าวถึง สามีและภรรยาคู่หนึ่งที่เป็นทุกข์เพราะความเข้าใจผิดต่อกัน จนเกิดเป็นความขมึงเกลียวทางอารมณ์ กระทั่งเกือบถึงจุดแตกหักทางความรู้สึก แต่เขาและเธอก็สามารถแก้ไขให้ผ่านไปได้ โดยการอาศัยการถอยหลังกลับไปทบทวนอดีตที่งดงาม แล้วนำมาเป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวไปสู่อนาคตของชีวิตใหม่ร่วมกัน

ในเนื้อหานั้นกล่าวถึงชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งที่มีความรักต่อกัน หลังการดูใจจนเชื่อมั่นในรักแล้ว ทั้งคู่จึงตกลงแต่งงานกัน ในช่วงที่เป็นแฟนกัน ชายหนุ่มและหญิงสาวต่างเขียนจดหมายรักถึงกันหลายฉบับ ทุกถ้อยคำในจดหมายคือการสื่อความรักที่บริสุทธิ์และงดงามของเขาและเธอ จนมีความรู้สึกว่าโลกนี้คงไม่มีความทุกข์สำหรับพวกเขาอีกแล้ว

แต่ครั้นเวลาพัดผ่านไปให้ทั้งคู่ได้ครองรักกันอยู่นานวัน ยิ่งเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ภรรยากลับมีความรู้สึกว่าสามีของตนเริ่มเย็นชากับตัวเองประหนึ่งว่าตีตัวออกห่าง ไม่แสดงออกถึงความรักอย่างเช่นอดีตที่ผ่านมา ยิ่งเมื่อสามีต้องทำงานมากขึ้น ใจของเธอยิ่งระแวงว่า คนรักของตนจะไปมีใหม่ ใจที่คอยระแวงและทิฐิที่ก่อตัวขึ้น ก็เข้าไปกระตุ้นความรู้สึกให้เกลียดชังสามีของตนเอง กระทั่งว่าไม่ยอมที่จะเปิดใจรับรู้เกี่ยวกับชายคนรักของตน

เมื่อเหตุการณ์ขมึงเกลียวไปด้วยบรรยากาศแห่งความไม่เข้าใจมากขึ้น ทั้งสองต่างเป็นทกข์และความรู้สึกที่ปิดกั้นใจของแต่ละคน ทำให้ทั้งคู่ไม่ยอมรับฟังเหตุผลของกันและกัน ประหนึ่งว่า อยู่ใกล้แต่ความรักกลับโบยบินไปอย่างไม่มีเยื่อใย ทำให้ทั้งคู่เริ่มไม่มองหน้ากันและพูดคุยกัน

กระทั่งวันหนึ่งสามีต้องออกไปธุระเรื่องงาน และด้วยความรู้สึกบอกตัวเองว่าไม่อยากอยู่บ้าน ห่างกันบ้างก็ดี บางครั้งอะไรที่มันเลวร้ายอาจจะดีขึ้น และเขาคิดว่าความสุขที่ได้จากการเดินทางคงช่วยให้จิตใจของเขาดีขึ้น ตอนที่สามีบอกว่าต้องไปประชุมนั้น ผู้เป็นภรรยาก็เพียงเอ่ยวาจาที่แสดงถึงความเย็นชาว่า

"ถ้าคุณมีธุระ ก็ไปทำเถอะ"

ฝ่ายชายคุ้นเคยกับคำพูดประโยคนี้ จนเป็นเรื่องปกติระหว่างเขาและภรรยา ทว่าหลังจากทำธุระที่ต้องรับผิดชอบ ปรากฎว่า ฝ่ายชายต้องอยู่ต่ออีก 2 วัน งานที่ได้รับมอบหมายจึงจะเสร็จ เขาจึงโทรไปบอกภรรยาว่า

"ผมต้องอยู่ต่ออีกสัก 2 วันนะ เพราะยังมีเรื่องที่ต้องทำให้เสร็จ"

ฝ่ายภรรยาก็รับรู้อย่างง่ายดาย และเย็นชาต่อเรื่องดังกล่าว เพราะเธอคิดว่าถึงเขาจะกลับมาบ้าน ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นแต่อย่างใด

หลังวางหูโทรศัพท์ ฝ่ายหญิงก็คิดว่าอยู่ว่าง ๆ ทำความสะอาดบ้านบ้างก็ดี อย่างน้อยก็ทำให้ตัวเองฟุ้งซ่านน้อยลง เธอเริ่มจุดตู้เสื้อผ้าของตัวเองและได้พบวัตถุสิ่งหนึ่งเข้า เป็นสิ่งที่เธอเก็บไว้และไม่ได้เปิดดูมานาน สิ่งนั้นก็คือ "กล่องจดหมาย" ของสามีที่เขียนถึงเธอสมัยแรกรัก

 

เธอรู้สึกสนใจเป็นพิเศษเพราะไม่ได้เปิดดูมานาน จึงเปิดกล่องออกและหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาอ่าน ขณะที่อ่านจดหมายอยู่นั้น ความรู้สึกของหญิงสาวได้กลับไปทบทวนอดีตที่ผ่านมาระหว่างเธอกับสามี ข้อความในจดหมายช่างหวานซึ้งกินใจ เป็นถ้อยคำแห่งความรักและความเข้าใจอย่างแท้จริง

เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก ดุจพื้นดินที่แห้งผากที่ถูกชโลมให้ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝน เธออ่านจดหมายเหล่านั้นจนเพลิน มารู้ตัวอีกทีก็มีจดหมายแห่งรักผ่านสายตาของเธอทั้งหมด 46 - 47 ฉบับ

ขณะอ่านจดหมายที่สามีเขียนไว้ในอดีตอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักนั้น ทำให้ภรรยารู้ว่า ความบาดหมางที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเธอนั้น เป็นเพราะเธอมีแต่ความหวาดระแวงในตัวเขา ไม่มั่นใจในรักที่เขามอบให้ จึงก่อให้เกิดความรู้สึกเลวร้ายชีวิตของทั้งคู่

เมื่อครั้งอ่านจดหมายจบลง เธอสามารถที่จะเรียกสามีว่า "ที่รัก" ได้อีกครั้ง และได้ฟื้นฟูความรู้สึกที่จะแก้ไขตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวจึงได้เขียนข้อความถึงสามี เพื่อบอกเล่าอดีตที่ดีงามระหว่างคนทั้งสองว่า ทำให้เธอและเขามีความสุขเพียงใด เธอกล่าวขอโทษสิ่งที่ผิดพลาดไป และขอเริ่มต้นแก้ไขสิ่งที่ผิดนั้น

หลังเขียนจดหมายเสร็จ เธอได้นำไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของสามี เมื่อฝ่ายชายกลับมาบ้าน และเห็นข้อความในจดหมายที่ภรรยาเขียนไว้ว่า

"ที่รัก ฉันมีส่วนรับผิดชอบต่อความทุกข์ของเราทั้งสอง เรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ เรามาช่วยกันฟื้นฟูความสัมพันธ์ของสองเรา ช่วยกันทำให้ความสงบปรองดองและความสุขอย่างเช่นอดีตกลับมาเป็นความจริงอีกครั้งเถอะ"

 

ฝ่ายชายหลังได้อ่านข้อความของภรรยา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในใจตน ความรู้สึกดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในหลั่งไหลออกมา และทำให้เขารู้สึกว่า ภรรยาที่อยู่ต่อหน้า คือ คนที่มีคุณค่าเหลือเกิน ทั้งสองได้หันหน้ามาคุยกันอีกครั้งหนึ่ง และฟื้นฟูชีวิตให้มีความสุขอย่างเช่นอดีตที่ผ่านมา

เมื่ออ่านเรื่องราวชีวิตของคนทั้งสองจบลง ผู้อ่านมองเห็นอะไรในเรื่องนี้บ้านไหม ?

สิ่งหนึ่งที่คนทั้งสองบอกผ่านมายังพวกเราก็คือ "การเรียนรู้ที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้กลับมาเป็นความงดงามได้อีกครั้งหนึ่ง" เพราะหากเรารู้จักทบทวนความผิดพลาดของตัวเราและคนที่เรารักได้ ยอมรับที่จะแก้ไขสิ่งผิดให้กลับมาเป็นความถูกต้อง ย่อมทำให้บรรยากาศของชีวิตดีขึ้นได้ อย่างน้อยเราก็ชื่อว่าได้เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ "ยอมรับ" ในการแก้ไขตนเองด้วยใจที่เปิดรับ

การย้อนกลับไปทบทวนชีวิตในวันวาน เพื่อนำมาสู่การแก้ไขเหตุการณ์ร้าย ๆ ในปัจจุบัน เปรียบเสมือนการถอยหลังเพื่อตั้งหลักให้กับชีวิต เพื่อทบทวนความผิดพลาดที่ผ่านมา และทบทวนสิ่งที่ควรจะปลูกให้มีชีวิตของเราและคนที่เรารัก เพื่อให้อดีตที่งดงามนั้นเป็นครูสอนปัจจุบันและอนาคตให้เกิดความดีงามร่วมกัน

การถอยหลังเช่นนี้ จึงเป็นการถอยหลังเพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงามอย่างทรงคุณค่าสำหรับชีวิตของเราทุกคน

 

โปรดถามตัวเองให้ชัดและลงมือแก้ไขสิ่งที่ค้างอยู่ในใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

 

 

ชุติปัญโญ.  ทำใจเสียบ้าง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น.  พิมพ์ครั้งที่ 9.  กรุงเทพฯ: ใยไหม, 2550.

 

หมายเลขบันทึก: 372734เขียนเมื่อ 7 กรกฎาคม 2010 13:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 19:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

สวัสดีค่ะ

อยากให้คู่สามีภรรยา คนรักกันในกลุ่มคนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจเช่นเดียวกับสามีภรรยาคู่นี้บ้างนะคะ

ขอขอบคุณอาจารย์ค่ะ

สวัสดีค่ะอาจารย์แว็บเข้ามาในช่วงว่างค่ะได้อ่านสาระความรู้แบบครอบครัวตัวอย่างทำให้ต้องนำมาคิดว่าควรมาใส่ใจกับเรื่องของกันและกันบ้างค่ะ

สวัสดีครับ อ.was

อ่านบันทึกหอมกลิ่น หนังสือของอาจารย์ แล้ว นะครับ

เป็นหนังสือที่ทำให้อยากอ่าน มาก เลย นะครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มาก นะครับ

ด้วยความระลึกถึง ครับ

 

 

การใช้ชีวิตครอบครัวเหมือนเส้นด้ายบาง ๆ ที่ขึงอยู่ครับ

หากตึงเกินไปก็จะขาด หากหย่อนเกินไปก็เหี่ยวเฉา ไร้ความสุข

ดังนั้น คู่ หมายถึง คนสองคน จึงต้องพยายามประคับประคองชีวิตคู่ให้ดีที่สุดครับ

ขอบคุณมากครับที่ใช้เวลาว่างมาเยี่ยมเยือนบันทึกนี้ คุณครู rinda ;)

หนังสือเล่มนี้ คุณ แสงแห่งความดี ต้องชอบแน่นอนครับ

ช่วงนี้ผมเห็น Se-ed เขามาขายลดราคาพอดีนะครับ

คุณ แสงแห่งความดี ลองเข้าไปหาซื้อได้ครับ

ขอบคุณครับ ;)

ชีวิตฉันไม่เหมือนเรื่องราวข้างบน ต้องทนทุกข์เป็นที่ระบายอารมณ์ของเขาตลอด ทุก3-5 วัน เมื่อดิ่มสุรา ใช้ถ้อยคำผรุสาวาท

เกรี้ยวกราด เถียงหรือต่อว่าไม่ได้ ดูกูก มึงเมียไอ้..... ไปหาผัวเก่ามึงสิ มึงรอมันอยู่ไม่ใช้หรอ ด่าทอเรา ไม่เคารพแม่ของเรา ปิดประตูเสียงดังเมื่อเข้าบ้าน เพราะต้องการให้แม่เราตื่น ตะคอกแม่เราบางคราว ข่มขู่จิตใจเรา และลูก ใช้ปืนขู่ฆ่า พอหายเมามาจะพยายามพูดดีกับเรา พอเราไม่หายโกรธเพราะสมมานาน ก็พาลมีน้ำโหอีก เป็นอย่างนี้ ๖-๗ ปีแล้ว เมื่อก่อนอาจมีผู้หญิงด้วย แต่เราไม่เคยสนใจ พอถามก็ขู่ว่า อยู่ได้ก็อยู่อยู่ไม่ได้ก็จะไป เพราะบ้านนี้ไม่กลัวใครอยู่แล้ว เถียงเราไม่ได้ก็ชักปืนจี้เรา เราทนเพื่ออะไร

ก็ลูกเท่านั้น ด้านการทำงาน พูดจาไม่ดีกับคนอื่นเช่นกัน และจะบอกว่ากูไม่กลัว ไม่ใช่โครตตระกูลกูสักคน ในสายงานของเราก็คอยจะรังควาน โทรไปด่าเราเมื่อเราต้องมีงานเลี้ยง ตระกูลพ่อมึงอยู่ที่นั้นเหรอ ขนาดเราพาลูกไปด้วยยังไม่ไว้ใจ ด่าและขู่จะเอาปืนไปยิงเราในงาน ถ้าไม่กลับ เราก็มีอายุรองจากผู้บริหาร นอกนั้นเป็นน้อง ๆหมด เขาให้เกียรติเราทุกคน แต่เราเจอพฤติกรรมสามีอย่างนี้ จะให้ระลึกถึงความดีคงไม่สามารถทำได้ เขาลูกติด เราก็ให้โอกาส มีลูกกับเรา ๒ คน คนโตเข้าใจแล้วและเห็นว่าแม่โดนทำร้ายจิตใจ ก็เข้าใจแม่อยู่ อายุ ๑๒ ปี คนเล็ก อายุ ๔ ขวบกว่า เห็นพ่อบีบคอแม่ ด่าประจานภรรยาตนเอง สงสารลูกและสงสารตัวเองที่ต้องเจอคนแบบนี้ ต้องหันมารักตัวเองแล้วใช่ไหม เพราะทุกวันนี้ใจไม่เหลือแล้ว ทนมามากพอแล้ว ไม่อยากทน เรามีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้และ เขารักเราแต่ไม่เคยให้เกียรติ ทำกับเราเหมือนทาส เขารักตัวเองต่างหากเพราะเขารู้ว่าเราไปไหนไม่ได้เพราะเรารักลูกและให้ความสำคัญกับความรู้สึกของลูก ถึงเป็นแบบนี้ แต่มันสะสม มันเกินทนแล้ว ช่วยให้แนวคิดทีนะคะ ขอบคุณ

มูลนิธิปวีณา ... น่าสนใจไหมครับ คุณจมทุกข์ ...

ขอให้กำลังใจและลองไตร่ตรองก่อนก็ได้นะครับ

ไตร่ตรองในด้านใดบ้างคะ ช่วยแนะที ทุกวันนี้มันมึนงง อยากรู้ว่าถ้าปัญหาเป็นขนาดนี้ผู้หญิงควรจะทำอย่างไร

การแยกทางอย่างสันติน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ แต่กรณีของคุณจมทุกข์นั้น ผมจึงได้แนะนำให้เข้าไปปรึกษาปัญหากับมูลนิธิปวีณาดีที่สุดครับ เพราะผมเชื่อว่า เคสเดียวกับคุณจมทุกข์คงมีจำนวนมากมายที่ได้ผ่านเข้าไป อีกทั้งเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง ลูก และแม่ของคุณ คุณไม่สามารถที่จะจัดการปัญหานี้ได้เองแน่นอน ต้องใช้กฎหมายและบุคคลที่ทำงานด้านนี้มาช่วยคุณจะดีที่สุดครับ

หากไม่ตัดสินใจเช่นนี้ ... เรื่องไม่ดีที่เกิดจากคู่ครองของคุณจะเกิดขึ้นไม่มีวันจบสิ้นครับ

ขอให้กำลังใจครับ

ขอขอบคุณ ความเห็นและข้อแนะนำที่ได้รับ นะคะ ดิฉันจะได้มีทางออกของปัญหาซะที

ขอบคุณมากค่ะ

ขอให้พระคุ้มครองนะครับ คุณจมทุกข์ ;)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท