หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
พ.ญ. ศิริรัตน์ เอกศิลป์ สุวันทโรจน์

นักเรียนรุ่นเสาร์ ๕ (๓) : เอ๊ะกับคำว่า "อบรมเพื่อความมั่นคงทางสังคม"


สังคมที่อยู่ร่วมกันมา มีเรื่องราวของความขัดแย้งอยู่เป็นธรรมดาของมนุษย์ซึ่งเกิดจากการมองมุมต่าง มีขัดแย้งแล้วสังคมเดินมาได้ก็ด้วยการมีถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยทำให้การปรับเปลี่ยนเกิดขึ้นอย่างนุ่มนวล การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดก่อผลให้การปรับไม่ทัน

บันทึกนี้ขอนำเรื่องที่ฟังจากอาจารย์ศรีศักร์มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเกริ่นนำที่อาจารย์ตั้งใจปูพื้นฐานให้นักเรียนโข่งได้เติมเต็มภูมิรู้ของตนอย่างให้ใจและเปิดใจ

ข้อคิดที่สะิกิดใจแรกที่เกริ่นแล้วสะกิดต่อมเอ๊ะของฉัน เป็นคำพูดนี้ค่ะ "อบรมเพื่อความมั่นคงทางสังคม" ท่านได้ยินแล้วงงกับถ้อยคำนี้มั๊ยค่ะ ฉันว่าถ้อยคำนี้มีความหมายที่แปลกนะถ้าแปลเชื่อมไปกับความคาดหวังของหลักสูตรที่ได้เล่าเอาไว้

นัยยะของถ้อยคำบอกถึงว่า ในฐานะสมาชิกของสังคมควรอบรมเพื่อความมั่นคงทางสังคมเนอะค่ะ มาอบรมเพื่อบริหารมุมมองต่างให้เกิดความยอมรับกัน

"ไม่เข้าใจก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับก็ไม่มีความมั่นคง" "ขว้างงูไม่พ้นคอ" เป็นคำเปรียบที่อาจารย์ใช้เตือนสติให้รำลึกถึงความเชื่อมโยงและความเกี่ยวพันที่มาถึงตัว

พื้นฐานที่อาจารย์โยงให้เห็นเพื่อเติมความเข้าใจให้เห็นมุมขับเคลื่อนที่ผ่านพ้นมาของสังคมไทย ชี้ไปที่ "การไม่ได้เตรียมสังคม" การพัฒนาที่ผ่านมาทุกยุคขาดหายไปเรื่องการเตรียมสังคม พัฒนามาแบบมองด้านเดียวจากผู้ที่อยู่สูงสุดฝ่ายบริหาร มิติเดียวที่นำสังคมก้าวเดินมาพลาดตรงที่มองไปทางเศรษฐกิจมิติเดียว

อาจารย์ชี้ว่าสังคมที่อยู่ร่วมกันมา มีเรื่องราวของความขัดแย้งอยู่เป็นธรรมดาของมนุษย์ซึ่งเกิดจากการมองมุมต่าง มีขัดแย้งแล้วสังคมเดินมาได้ก็ด้วยการมีถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยทำให้การปรับเปลี่ยนเกิดขึ้นอย่างนุ่มนวล การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดก่อผลให้การปรับไม่ทัน การแก้ความขัดแย้งต้องเข้าถึงคน

เข้าถึงคน เข้าถึงกลุ่มคน ในเวลา ในสถานที่ ได้ความเข้าใจเกิดขึ้น

อาจารย์โยนตัวกวนใส่หูเพื่อให้เข้าใจมุมชัดเรื่อง "ความเข้าใจ" ชี้ตัวอย่างกรณีปลาร้าในสังคมม็อบ ที่ผู้คนจากถิ่นแห้งแล้งอย่างแดนอีสานหวงแหนและเสพเช่นอาหารเลิศรส แต่ผู้คนที่มาจากพื้นที่อุดมสมบูรณ์ในภาคกลางกลับเลือกใช้เฉกเช่นอาวุธชีวภาพที่ทรงพลังของตน ช่วยขยายให้ฉันเข้าใจชัดถึงความหมายของถ้อยคำที่อาจารย์พยายามย้ำ "ความไม่เข้าใจสังคมและปฏิสัมพันธ์สร้างความเหลื่อมล้ำของความเข้าใจ"

อีกเรื่องราวที่อาจารย์ถ่ายทอดเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องของ "culture values" คำๆนี้มีความสำคัญตรงที่สามารถเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย

คำที่ใช้อ้างอิงยุคเปลี่ยนผ่านการปกครองที่เก็บลิ้นชักความจำไว้ยาวนาน "สมบูรณาญาสิทธิราช" "ประชาธิปไตย" "จิตร ภูมิศักดิ์" เป็นคำที่อาจารย์สะิกดให้ปัดฝุ่นนำขึ้นมาทบทวนความเข้าใจของตัวฉันเพื่อใช้เรียนรู้ร่วมต่อไป

ได้เรียนรู้ตัวเองว่าภูมิเดิมที่รู้ความนัยที่ตรงของคำเหล่านี้มีอยู่น้อยกว่าน้อย แค่อ่านออก เขียนได้ แล้วอ้อว่าเคยได้ยินคำพวกนี้ คุ้นชินกับเสียงอ่านที่ได้ิยิน แค่นี้เองจริงๆ เป็นความรู้แบบเด็กอนุบาลที่เพิ่งไต่ระดับจากตั้งไข่แล้วหัดเดินปานนั้นเชียว

รู้สึกขำตัวเองจริงๆ ขอหัวเราะหน่อยเหอะ....5555....บอกตัวเองว่า เรียนแบบไร้สาระศาสตร์เตาะแตะตามไปก็แล้วกัน การเรียนรู้ที่หลักสูตรคาดหวังผลจะให้ผลแบบหมู่หรือจ่าหรือผู้กองหรือนายพลหรือนายพัน ครบเวลา ๙ เดือนเดี๋ยวรู้เอง

เรื่องราวของร้านโชห่วยและระบบอุปถัมภ์เป็นตัวอย่างของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ/วัฒนธรรมที่ถูกยกขึ้นมาชี้ให้ลองเรียนรู้กับมัน

การที่มีการตัดขวางกลุ่มคนเป็นกลุ่ม ในพื้นที่หนึ่ง ณ เวลาหนึ่ง เพื่อให้สามารถควบคุมได้หมด ถ้าทำไม่ดี ไม่มีการคุยกัน จะทำให้เกิดการทำลาย เป็นอีกมุมที่อาจารย์ชี้ชวนให้มองเห็นแล้วตามเรียนรู้

การเป็นครอบครัวที่ขยายมาเป็นบ้าน เป็นเมือง แล้วเกิดหน่วยที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ซึ่งเมื่อร้อยรัดกันแล้ววัฒนธรรมก็เกิดขึ้นมา เป็นมุมที่อาจารย์ได้ชวนให้รำลึกและสะท้อนมุมมองเชื่อมโยงให้เห็นความเป็นมาของวัฒนธรรม

มนุษย์พึ่งตัวเองไม่ได้ทั้งร่างกายและจิตใจ ความเป็นปัจเจกจะทำให้ขาดการจัดการเรื่องร่วม ทุนเสรีนิยมทำลายความเป็นมนุษย์ ทำลายโครงสร้างสังคม ทำลายความสัมพันธ์คนกับธรรมชาติ คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

สังคมคือกลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่หนึ่งด้วยกัน ในเวลาหนึ่ง การรวมศูนย์ทำให้เกิดการแย่งทรัพยากร ยุคสมัยขององค์พระมหากษัตริย์ในอดีตมีการรวมศูนย์ เป็นการรวมศูนย์ที่เกิดจากบารมีขององค์กษัตริย์นั้นๆ อาจารย์เรียกคุณลักษณะการรวมศูนย์ที่เกิดจากบารมีของผู้นำว่า "จักรพรรดิราช"

การนำพาย้อนความจำในส่วนเสี้ยวไปรื้อความทรงจำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ขึ้นมาแล้วทบทวนเพื่อค้นหาความรู้ใหม่ ที่สังเคราะห์ในมุมของสังคมศาสตร์แล้วอาจารย์กรุณานำมาเผยแพร่ให้ได้ร่วมเรียน มีเรื่องชวนพิศวงไม่น้อยเกี่ยวกับกระบวนการสันติวิธีที่บรรพบุรุษไทยได้เคยลงมือมาแล้ว ได้ฟังแล้วรับรู้ถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยรุ่นต่างๆจริงๆ

เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ ร.๔ และ สมเด็จพระปิ่นเกล้าคือครั้งแรกของการใช้สันติวิธีแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองไทย ครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นในยุคที่เกิดรูปแบบวังหน้า วังหลังขึ้น

มีประเด็นความต่างที่ได้รับการชี้แนะให้เกิดความเข้าใจมิติของถ้อยคำที่ใช้ของคำสำคัญ ๓ คำ : เชื้อชาติ(ชี้บ่งโดยสายเลือด) ชาติพันธุ์ (ชี้บ่งโดยวัฒนธรรมที่บ่มเพาะ) ชาติภูมิ (ชี้บ่งโดยพื้นที่ให้กำเนิด)

๓ คำนี้สำคัญด้วยมีความเกี่ยวพันไปสู่ความเข้าใจในมุมใหม่ต่อผู้คนหลังการฟังผู้คนตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง

ในความเห็นของอาจารย์ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือสังคมและวัฒนธรรม วิเคราะห์กลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่หนึ่ง เวลาหนึ่ง ให้เห็นความอ่อนแอ หาความอ่อนแอให้พบโดยดูที่การพึ่งพิง

ต่อไปนี้คือข้อคิดหลากประเด็นซึ่งฉันเก็บเกี่ยวได้ทันและขอยกมาใช้เป็นข้อเตือนสติสำหรับตัวฉัน :

"ความแตกต่างและพึ่งพิงทำให้อยู่รอด"

"ความแตกต่างและพึ่งพิงทำให้เกิดความมั่นคงทางสังคมแล้วทำให้อยู่รอด"

"เรียนรู้ได้แต่อย่าเลื่อมใส"

"ประชาธิปไตย คือ การยอมรับความขัดแย้ง มีถ้อยทีถ้อยอาศัย ประนีประนอม แล้วนำสู่การพบกันครึ่งทาง"

" to know is understand to understand is control"

"ประชาพิจารณ์ คือ Dialouge"

" สื่อจากความสัมพันธ์ที่เห็นหน้าเห็นตากันโดยตรง คุยกัน แล้วกระจายออกไปสู่ที่อื่น"

" Demoralization ทำให้เกิด Dehumanization"

๑๙ มีนาคม ๒๕๕๓

หมายเลขบันทึก: 347596เขียนเมื่อ 27 มีนาคม 2010 18:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ชอบอันนี้ค่ะ " Demoralization ทำให้เกิด Dehumanization"

ขอบคุณค่ะ

ข้นและเข้มขึ้นจริงๆ ขอตามไปก่อนนะคะ

ขอบคุณค่ะ

  • น้อง ชาดา ~natadee ค่ะ
  • คำหลายๆคำที่บันทึกข้างบน
  • มีเบื้องหลังเรื่องเล่าที่อาจารย์มาเพิ่มเติมทีหลังด้วยค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท