หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
พ.ญ. ศิริรัตน์ เอกศิลป์ สุวันทโรจน์

นักเรียนรุ่นเสาร์ ๕ (๑๒) : วัฒนธรรมบ่มเพาะจิตวิญญาณ


เรื่องราวหลายๆเรื่องที่ได้ข้อมูลในมุมต่างจากความเห็นที่ต่างของผู้คนพื้น ถิ่นซึ่งอยู่วงใน อีกทั้งจากผู้คนที่อยู่วงนอก ล้วนเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญในด้านสังคม การรับ ข้อมูลเหล่านี้ควรวางสติของตัวให้มั่นและคงไว้ตรงจุดรู้ว่า "เป็นเรื่องจริง ที่มาจากมุมมองของความเห็นต่างระดับ" เอาไว้เสมอ

วันนี้เป็นวันที่ลุงเอกโดนโบ๊ยให้มาเป็นครูสอนโดยไม่ทันรู้ตัว ที่พูดว่าโดนโบ๊ยก็เพราะตารางเวลาเรียนจากลุงเอกถูกกำหนดไว้ในเดือนอื่นค่ะ เรื่องราวที่ลุงเอกมาแลกเปลี่ยน สร้างความงุนงงให้ผู้เข้าเรียนไม่น้อย ตอนจบของการเรียน มีคนยกมือถาม เอ๊ะ นี่จะให้การบ้านกลุ่มจะให้ทำงานอย่างไรกันแน่หรือ ลุงเอกแลกเปลี่ยนอะไรขออุบไว้ก่อนให้อยากรู้

ในวันปฐมนิเทศวันแรกเมื่อกิจกรรมจบลงก็มีคำถามกับลุงเอกว่าการบ้านที่ให้ส่งเป็นรายวันนั้นเริ่มเลยละหรือ ทีมงานลุงเอกเป็นผู้เข้ามาตอบว่ายังไม่เริ่ม ให้เริ่มเมื่อกลับมาเรียนที่สถาบันพระปกเกล้า ในวันนั้นหลายคนโล่งใจค่ะ

ที่โล่งใจก็เพราะว่าต้นๆวันปฐมนิเทศมีการเกริ่นเรื่องส่งการบ้านว่าให้แต่ละคนส่งงานบอกเล่าเรื่องการเรียนรู้ในแต่ละวันเมื่อกิจกรรมเรียนจบลง มีเงื่อนไขการส่งว่าไม่ถึง ๗๕% ถือว่าตก เวลาเรียนนับสะสมแล้วไม่ถึง ๗๕% ถือว่าตกด้วย และมีการปรับไม่ให้ไปศึกษาดูงานในต่างประเทศด้วย

มีหลายคนที่ได้ยินเรื่องสะสมเวลาเรียนแล้วถึงชะงักคิดเปลี่ยนตัวคนเข้ามาเรียนแทนว่าดีกว่ามั๊ย จนมาถึงวันปฐมนิเทศที่อยุธยา เมื่อได้สัมผัสกิจกรรมทั้งวัน หลายคนเริ่มคิดใหม่กับโจทย์ตัวว่าเรียนต่อหรือถอนตัวดีกว่ากัน แว่วเสียงให้ได้ยินว่าวิธีเรียนแบบที่จัดให้ไม่เครียดอย่างที่คิดไว้ค่ะ

พูดถึงการบ้านแล้วก็ฉุกคิดไปถึงประเด็นที่รุ่นพี่ สสสส.๑ และอาจารย์ไร้กรอบวางทิ้งไว้ให้ พ่อครูบาทิ้งโจทย์เรื่องการเรียนเอาไว้ให้ขบ เมื่อนำมาบรรจบกับเฉโกที่อาจารย์ไร้กรอบและข้อความที่กอล์ฟทิ้งไว้ให้เรียนก็มีเรื่องชวนคิดนะ

ลองนำสังคมที่เกิดขึ้นในกลุ่มนักศึกษา สสสส.๒ มาเรียบเรียงภาพเพื่อทวนความกับตัวเองว่าได้เรียนอะไร ถอดบทเรียนดูบ้างว่าในพื้นที่นอกห้องเรียนที่ได้เรียนเก็บเกี่ยวความรู้มาใช้งานแบบใด อย่างไรบ้าง

บทเรียนที่เรียนมาแล้วมีทฤษฎีวิชาการเป็นฐานอยู่มากมาย เมื่อโยงมาสู่การเรียนรู้ให้ภาพรวมอะไรบ้างเป็นโจทย์ที่ชวนให้หาคำตอบ เบื้องต้นของคำตอบทั้งหมดที่หลักสูตรหวังผลไว้

เมื่อลองไปอ่านหนังสือ "รายงานปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ : บทวิเคราะห์และแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงรุกที่ยั่งยืนด้วยสันติวิธี" ที่รุ่นพี่ สสสส.๑ ช่วยกันทำขึ้น ความเข้าใจของฉันแปลความว่า ช่วงเวลาของการเรียนรู้ในห้องเรียนที่กำลังดำเนินอยู่ที่สถาบันพระปกเกล้า ณ เวลานี้ เป็นเสมือนส่วนบทนำ บททั่วไป และทบทวนวรรณกรรม คล้ายการเล่าเรื่องแบบงานวิจัยยังไงยังงั้นเชียว

ข้อมูลที่ไหลเข้ามาเป็นเสมือนให้รู้ว่าพื้นฐานด้านวิชาการมีหลักมองอย่างไรกับเรื่องการเรียนรู้สังคม ในช่วง ๒ สัปดาห์แรก เรื่องราวที่ได้เรียนจึงเป็นเรื่องของศัพท์เฉพาะที่นักวิชาการด้านสังคมใช้ๆกันเพื่อให้เกิดความรอบรู้ และทันกันกับผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาเป็นพี่เลี้ยง เมื่อเกิดความรอบรู้ ความเข้าใจจะเกิดทัน แล้วการแลกเปลี่ยนความรู้ในตัวคนที่เกิดจากความสามารถและประสบการณ์ก็จะเกิดขึ้น เป็นผลให้ความรู้ได้รับการต่อยอดที่เอื้อประโยชน์ต่อส่วนรวมเมื่อมาคิดร่วมกันในการทำงานกลุ่ม

อย่างนี้ดูเหมือนว่า นักศึกษาทุกคนกำลังถูกฝึกฝนให้เป็นนักวิจัยด้านสังคมศาสตร์เลยแฮะ

หลายเรื่องที่เรียนรู้เป็นเรื่องของเหตุผลที่ทำให้วัฒนธรรมยึดโยงสังคมให้อยู่ด้วยกันได้ หลายเรื่องเป็นเรื่องของคนพื้นถิ่นที่ได้รับการบ่มเพาะจิตวิญญาณตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมา หลายเรื่องที่ผ่องถ่ายความรู้มาให้ก็มีเป้าประสงค์ให้ใช้วิเคราะห์ความเป็นตัวตนที่ตัวเองถูกบ่มเพาะมา

มุมมองที่ปรากฏนี้ทำให้เข้าใจคำว่า "ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น" มากขึ้นแล้วหละ เรื่องราวหลายๆเรื่องที่ได้ข้อมูลในมุมต่างจากความเห็นที่ต่างของผู้คนพื้นถิ่นซึ่งอยู่วงใน อีกทั้งจากผู้คนที่อยู่วงนอก ล้วนเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญในด้านสังคม

การรับข้อมูลเหล่านี้ควรวางสติของตัวให้มั่นและคงไว้ตรงจุดรู้ว่า "เป็นเรื่องจริง ที่มาจากมุมมองของความเห็นต่างระดับ" เอาไว้เสมอ

วันนี้เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า "ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น" เป็นเรื่องเล่าที่มาจากคนวงในและมีความสำคัญ ตำนานซึ่งเล่าขานอ่านจากตำราแล้วเล่าต่อๆกันมาไม่ใช่ "ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น" โดยตรงอย่างที่เคยเข้าใจแฮะ

วันนี้ถึงแม้ยังงงกับเรื่องราวใหม่ๆที่ได้เรียนรู้ เมื่องงแล้วเขียนบันทึกก็เท่ากับได้ทวนการรับรู้ ได้ใคร่ครวญตอนเขียน ช่วยลดความงงของฉันเองได้ดีเลยค่ะ แถมยังได้มุมมองใหม่ของการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในงานประจำด้วยในบางช็อต

ถือเป็นวิธีเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ฉันใช้ฝึกตัวเองอยู่ค่ะ

ขอบคุณ ลุงเอกนะคะที่ส่งข่าวหลักสูตรให้รู้จึงมีโอกาสผ่านกระบวนการคัดเลือกจนได้มานั่งเรียนร่วม

ขอบคุณ สถาบันพระปกเกล้าที่ได้จัดหลักสูตรเรียนรู้สังคมในเชิงลึกไว้ให้ได้เรียน

ขอบคุณ สปอนเซอร์ที่เกื้อหนุนสถาบันพระปกเกล้าให้มีงบประมาณเพียงพอสำหรับดำเนินการหลักสูตร

ขอบคุณ เจ้านายและพี่ๆน้องๆในหน่วยงานของฉันที่เื้อื้อโอกาสและเวลาทำงานให้ฉันสามารถมาเรียนร่วมอย่างสะดวกกาย-ใจ

ขอบคุณ ครอบครัวที่รัก ที่เข้าใจและเปิดไฟเขียวให้เดินทางมาเรียนร่วมได้ด้วยความสบายใจ

ขอบคุณ หลวงพี่ติ๊กที่สะกิดให้หาคำตอบในวันปฐมนิเทศว่าทำไมฉันจึงได้เข้ามาเรียนด้วย เรื่องหนึ่งที่แน่ใจคือ การเป็นหมอที่ไม่รู้สึกลำบากกับการเดินทางบ่อยๆ (และเอาตัวรอดจากการหลงทางได้มั๊งค่ะ)

๒ เมษายน ๒๕๕๓

หมายเลขบันทึก: 351083เขียนเมื่อ 11 เมษายน 2010 17:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊

คงสนุกที่ได้มาเป็น "นักเรียน" อีกครั้งใช่ไหมคะ

อ่านไม่ไหว ตาจะปิด...แล้ว

รีบมาทักทายก่อน เพิ่งเห็น Logo ใหม่ของพี่ค่ะ

ผ่อนคลายและพักผ่อนกับครอบครัวในช่วงปีใหม่ไทยนะคะ

ด้วยความระลึกถึงค่ะ

(^___^)

  • สวัสดีค่ะ
  • วันสงกรานต์นี้เที่ยวให้สนุกเดินทางด้วยความปลอดภัยนะค่ะ 
  • สุขสันต์วันสงกรานต์...ค่ะ

                        

สวัสดีค่ะ คุณหมอ..คนสวยจริงๆค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท