เช้าของวันนี้ มีผู้คนพากันมาร่วมเรียนอุ่นหนาฝาคั่ง มีผู้ที่มาใหม่เพิ่มขึ้นอีกซึ่งมีหลายคนที่ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมปฐมนิเทศที่อยุธยา มีหลายคนที่พาตัวกลับก่อนที่กิจกรรมเรียนรู้โลกภายในของอาจารย์ไร้กรอบจะเริ่มขึ้น
เมื่อวานระหว่างรอเวลาเริ่มเรียนประจำวันกันอยู่นั้น ก็มีการแลกเปลี่ยนว่ามีใครไปทำอะไรมาบ้างหลังแยกจากกันที่อยุธยา มีบางคนบอกว่าหลังจากกลับจากอยุธยาก็ไปร้านหนังสือหาหนังสือมาอ่าน เล่าพลางหยิบหนังสือพลางนำออกมาให้อ่าน เป็นหนังสือ "ฉลาดได้อีก" ของอาจารย์ไร้กรอบนั่นเอง
เห็นภาพนี้แล้วคิดได้อะไร สิ้นคิดอะไรบ้างมั๊ยหนอ
ในห้องเรียนระหว่างรอวิทยากรกันอยู่นั้น น้องปอก็ชวนให้ทำ AAR กับกิจกรรมที่อยุธยา บ้างให้ความเห็นว่ากิจกรรมที่ดำเนินให้นั้นดีแล้ว บ้างให้ความเห็นว่ายังเบาๆไปสำหรับการสลายพฤติกรรม บ้างให้ความเห็นว่ากิจกรรมแบบค่ายลูกเสือก็ดีนะ บ้างก็ออกปากเรื่องความตรงเวลาของวิทยากร บ้างก็ออกปากเรื่องการใช้คำพูดของวิทยากร คุยกันไปคุยกันมาจนวิทยากรของชั่วโมงเช้าพาตัวมาถึงเรื่องคุยกันจึงจบลงโดยปริยาย
เช้าวันนี้ไม่ต้องรอวิทยากรแล้ว ด้วยลุงเอกมาถึงห้องเรียนเช้าพอๆกับนักเรียนโข่ง หลังจากที่เมื่อวานได้หนังสือคู่มือหลักสูตรที่มีประวัติส่วนตัวของทุกคน วันนี้แอบรู้มาว่ามีคนจัดการรายการเซอไพร๊ท์ไว้ด้วย
เมื่อถึงเวลาเรียนตามกำหนดการแล้ว ลุงเอกก็แสดงตัวว่าวันนี้ได้รับมอบหมายให้แสดงบทวิทยากร เริ่มต้นเลยลุงเอกก็เกริ่นนำเรื่องความเห็นที่มีอดีตประธานธนาคารโลกวิเคราะห์การเมืองโลกเอาไว้ จำไม่ได้แล้วค่ะว่าชื่ออะไร รู้แต่ว่าไปพูดที่ซิดนีย์ แล้วจากนั้นก็นำเข้าสู่เรื่องที่จะเรียน หัวข้อที่ลุงเอกสอนเป็นเรื่อง "สถานการณ์ความขัดแย้งจากสังคมโลกสู่รากหญ้าไทย" ค่ะ
ใครเคยว่าลุงเอกขี่ไก่สวมไม้เอกไปกับคุณแอ....ถอนคำพูดซะนะคะ
มีหลายความเห็นที่ลุงเอกแลกเปลี่ยน ได้ฟังแล้วขอออกปากบอกว่าเป็นมุมมองสังคมไทยที่ไม่ใคร่มีใครพูดให้ได้ยินเลยหละ
มุมมองที่ลุงเอกนำมาแลกเปลี่ยนลุงเอกว่าเป็นความรู้ที่มาจากปัจจัตตังแล้วเทียบกับตำราแล้วนำความรู้ที่ตำรามีเกินกว่ามาเติมและต่อยอดค่ะ
ลุงเอกมองเห็นว่าสังคมไทยไม่ธรรมดา ไม่เหมือนสังคมไหนในโลก ส่วนเส้นทางของการพัฒนาประเทศไทย หรือนำพาประเทศ ไม่น่าทำอย่างที่ทำๆกันมา มีหลายเรื่องหลายราวที่ดำเนินการมาแล้วที่ลุงเอกนำมาโยนโจทย์ให้กระตุกคิด ว่าถ้าย้อนเวลาไปเพื่อทำใหม่ ควรทำอย่างเดิมหรือเปล่า เช่น กรณีตากใบกับการตีความด้านยุติธรรม
ลุงเอกเล่าให้ฟังเรื่อง "ทฤษฎีใจโลก" รวมไปถึงวิธีคิดยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตลอดกับการคุกคามประเทศอื่นที่ตั้งหมายไว้ที่ "ใจโลก"
ลุงเอกได้เล่าให้ฟังเรื่องยุทธศาสตร์ของการขยายอำนาจที่ดำเนินมาในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นว่าประเทศในโลกได้เลือกใช้กำลังอำนาจอย่างไรมาตามลำดับ ฟังแล้วร้อง อือหือ เลยค่ะ
ฟังไป จดไปเพลินไปเลย
การใช้กำลังอำนาจได้ถูกกำหนดรูปแบบการทำสงครามแบบใช้ปัญญามาตลอด นับแต่การใช้อำนาจทางการทหารที่มีอัตลักษณ์ด้านปัญญาผ่านการเมืองเป็นสื่อแสดงความมีอำนาจ ลุงเอกชี้ว่าการสร้างรถไฟความเร็วสูง เครื่องบิน เรือบรรทุกเครื่องบิน แล้วเปลี่ยนผ่านมาใช้กำลังอำนาจทางการเมืองที่กำหนดรูปแบบผ่านสงครามลัทธิ(สังคมนิยม คอมมิวนิสต์) แล้วเปลี่ยนผ่านต่อมาเป็นการใช้กำลังอำนาจทางเศรษฐกิจผ่านสงครามเศรษฐกิจ(ทุนนิยมเสรี) และ ณ วันนี้ได้เปลี่ยนผ่านมาเป็นการใช้กำลังอำนาจทางสังคมจิตวิทยา (ศาสนา/วัฒนธรรม) ซึ่งลุงเอกใช้คำว่าสงครามปาก/หู เหล่านี้เป็นยุทธศาสตร์ของการทำสงครามปัญญาที่มีมหาอำนาจเกี่ยวข้องอยู่ทั้งสิ้น
ลองใคร่ครวญกันดูหน่อยดิ กำลังอำนาจของชาติขณะนี้มีอะไรฟื้นฟูได้บ้างหนอ แล้วใคร?คือคนที่จะฟื้นฟูได้สำเร็จ
จำได้ใช่ไหมค่ะว่าที่ได้เรียนผ่านกันมาแล้วอาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ได้บอกว่าอำนาจจะเกิดขึ้นต้องมีคู่เผชิญ ลองทบทวนความรู้ตัวเองเรื่องโลกกว้างดูหน่อยนะว่า คู่เผชิญของมหาอำนาจในแต่ละยุคเป็นใครบ้างทั้งเรื่องรถไฟความเร็วสูง เครื่องบิน ลัทธิ ทุนเสรีนิยม เพื่อแกะรอยความนัยเรื่องการขยายอำนาจของมหาอำนาจ ฉันขอไม่เฉลยค่ะ สำหรับอำนาจทางสังคมวิทยา ลุงเอกฟันธงว่า คู่เผชิญเป็นมุสลิมและท้องถิ่นนิยมค่ะ
หลายๆมุมลุงเอกได้ชี้มุมให้มองด้านยุทธศาสตร์ ฉันฟังแล้วฉันว่ามหาอำนาจใช้สงครามจิตวิทยาแทรกซึมเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วยยุทธศาสตร์การตลาดนะคะ ลุงเอกแลกเปลี่ยนว่าอยากรู้ว่ายุทธศาสตร์ของมหาอำนาจเป็นอย่างไร ให้ดูตลาดบริโภค ภาพยนต์ อาหารจานด่วน วิชาการที่สั่งสอนโดยกูรู แหล่งเรียนรู้และภาษาที่มีวัฒนธรรมของมหาอำนาจนั้นๆอยู่
หน้าตาของพื้นที่สังคมที่เปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคต
เมื่อลุงเอกเปรียบเทียบว่า คนอเมริกันเรียนวิชา Americanization คนไทยเรียนวิชาทิ้งถิ่น คนอื่นใช้ชาติเป็นตัวตั้ง คนไทยใช้ตัวเองเป็นตัวตั้ง ชาตินิยมใช้เผด็จการสร้างคนให้มีวินัย คนไทยเลี้ยงลูกแบบไร้รูปแบบ เลี้ยงลูกให้ร้องไม่เป็นเวลา บ้างฟังแล้วยิ้ม บ้างฟังแล้วหัวเราะอยู่กับตัวเอง แบบว่าฟังเพลิน
ลุงเอกเล่าต่อว่าความเป็น Americanization ทำให้อเมริกาแบ่งกลุ่มประเทศในโลกเป็น ๔ กลุ่ม คือ กลุ่มประเทศ G7 ประเทศกำลังพัฒนา ประเทศเกิดใหม่และรัฐเอกราช และ ประเทศอักษะแห่งความชั่วร้าย
ใครเคยรู้จักวิชานี้บ้างค่ะ ฉันเพิ่งได้ยินชื่อวันนี้เองค่ะ วิชาที่เรียกว่า "ทฤษฎีภูมิรัฐศาสตร์" ลุงเอกบอกว่าเป็นวิชาที่นักยุทธศาสตร์ควรเรียนในยุคที่การขยายอำนาจของประเทศมหาอำนาจใช้อำนาจทางการเมืองเป็นสำคัญค่ะ
ทฤษฎีภูมิรัฐศาสตร์สอนอะไรที่น่าสนใจมากๆ
วิชานี้มีความเชื่อมกับภูมิศาสตร์ ที่ตั้ง และการกำหนดนโยบายของรัฐนั้นๆ มีลักษณะเฉพาะ ๔ ประการ มีภูมิศาสตร์การเมือง ประวัติศาสตร์ การใช้สิทธิอำนาจนิยม และยุทธศาสตร์ทางบก ทางเรือ ทางอากาศค่ะ
เพิ่งได้มุมมองใหม่จากลุงเอกวันนี้เองว่า ปัจจัยที่บอกว่าชาติมีพลัง ( National Power Factors) ดูจากอะไรบ้าง ดูจากภูมิศาสตร์ ภาวะประชากร ทรัพยากรธรรมชาติ ความเชื่อ ศาสนา ความจงรักภักดี ลักษณะประจำชาติ กำลังทหาร วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การศึกษา อุดมการณ์ของชาติและภาวะผู้นำค่ะ
ท่านรู้ข้อมูลข้างบนแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ฉันนะร้องโอ้โหเลยเชียวแหละ งานของฉันมันยุ่งเกี่ยวส่งผลให้กับหลายปัจจัยที่ว่าเลยนะนี่และที่สำคัญที่เกี่ยวกับตัวเองจังๆก็อีตรง "ภาวะผู้นำ" นี่เองแหละเนอะ
พลังที่ใช้ป้องกันชาติมีอะไรบ้าง...มาดูกันเร้ว
ลุงเอกได้เล่าถึง Model National Security Assessment ซึ่งมีตัวย่อว่า EKMODEL ด้วย เสียดายที่ฟังตามไม่ทันว่าย่อมาจากอะไรบ้าง มัวแต่นะจังงังกับความรู้สึกบางอย่างที่แวบเรื่องที่เคยรู้สึกสังหรณ์ระหว่างการทำงานประจำของฉันเองขึ้นมาอยู่ค่ะ
แล้วลุงเอกก็วิเคราะห์สถานการณ์โลกให้เห็น สิ่งที่รับฟังมาทำให้ฉันมองเห็นแนวโน้มบางอย่างว่าสถานการณ์ของความยุ่งเหยิงในหลายๆพื้นที่อันเป็นเรื่องของความขัดแย้งตามที่นักวิชาการมาบอกว่าให้ถือเป็นเรื่องธรรมดาๆไปเลยนั้น มีเหตุผลอะไรให้เชื่อตาม
คู่กัดที่ทำให้ความขัดแย้งพบได้ทั่วไปทั้งโลก ทำความรู้จักเองเหอะ
สำหรับสถานการณ์ในเมืองไทย ลุงเอกมองว่าเรื่องยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นยังจะเกิดต่อไป และจะมีพื้นที่ที่ขยายตัวให้เกิดขึ้นหลายพื้นที่ด้วย ซึ่งลุงเอกมองว่า เรื่องราวก็ยุติของมันเองได้โดยไม่ต้องทำอะไร ด้วยนิสัยของคนไทยที่ได้ศึกษามาก่อนหน้า ที่ลุงเอกเชื่อว่ามองไม่ผิดก็มาจากกรณีตัวอย่างเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วนะแหละค่ะ
การลงมือทำอะไรซะอีกที่อาจจะทำให้เกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้น นี่ก็เป็นนัยๆที่ลุงเอกสื่อบอกให้ผู้คนในห้องที่มีหน้าที่ด้านความมั่นคงให้คิดก่อนทำ
มีนิสัยของใครไม่อยู่ในนี้บ้าง เถียงได้เลยเน้อ
ในระหว่างที่มีกิจกรรมที่อยุธยามีการแลกเปลี่ยนเรื่องคำเรียกที่ใช้ต่างในแต่ละศาสนา สำหรับศาสนาคริสต์นั้นเคยบันทึกไว้แล้ว วันนี้ขอบันทึกเรื่องของคนมุสลิมที่ลุงเอกนำมาเล่าไว้สักหน่อย
ในความรู้ที่ลุงเอกรวบรวมมาได้ มีมุสลิมที่แบ่งได้เป็นสายต่างๆ ๖ กลุ่ม
กลุ่ม ๑ ปกครองแบบกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองแคว้น (มอร็อคโค จอร์แดน ซาอุดิอาราเบีย รูไน และรัฐเล็กๆริมอ่าวเปอร์เซีย)
กลุ่ม ๒ ประชาธิปไตยใหม่ (อินโดนีเซีย, มาเลเซีย,ตุรกี)
กลุ่ม ๓ กึ่งประชาธิปไตย (ปากีสถาน,แอลจีเรีย,อียิปต์,ตูนีเซีย,เลบานอน)
กลุ่ม ๔ ปฏิวัติ เผด็จการ หรือกึ่งเผด็จการ (อิรัก, ซีเรีย, ลิเบีย)
กลุ่ม ๕ สายเคร่ง (ศาสนามีอำนาจเหนือรัฐ) (อัฟกานิสถาน,อิหร่าน)
กลุ่ม ๖ สายสลาฟ ( รัสเซียและมุสลิมที่เคยอยู่ในรัสเซีย, อุสเบกิสถาน, เติร์กเมนิสถาน,คาซัคสถาน, ทิกิร์เซีย, และ อาเซอร์ไบจาน)
หลังจากลุงเอกจบการบรรยาย ก็มีคนลุกขึ้นมาแลกเปลี่ยนเรื่องของ food security ว่าเวลานี้ต่างประเทศ เขามีการทำระบบ food print ขึ้นทะเบียนพืชกันไว้แล้ว แหล่งพืชที่มีคุณค่าอยู่ที่ไหน พื้นที่ใด จำนวนเท่าไร ไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว และแลกเปลี่ยนเรื่องเกี่ยวกับกฏหมายระหว่างประเทศเรื่องของเรือสินค้าที่มีการบังคับให้ทำผนังเรือ ๒ ชั้น ชั้นในไว้กันน้ำ ชั้นนอกไว้กันน้ำมันรั่วออกทะเลและจะต้องขึ้นทะเบียนไว้กับประเทศที่จะพาเรือเข้าไปจอดท่าเรือของเขาจึงสามารถนำเรือผ่านน่านน้ำของเขาเข้าไปได้
แล้วลุงเอกก็โชว์ภาพเรือรบที่ลำใหญ่มากกกกกกกกกก ทั้งลำสามารถเป็นสนามบินได้ เก็บเครื่องบินได้ ลำเดียวมีเครื่องบินร่วม ๒๐๐ ลำ และขณะนี้ไม่รู้ว่าเรืออย่างนี้มีอยู่กี่ลำแล้ว เห็นแล้วก็อึ้งค่ะ แล้วท่านละอึ้งมั๊ย
เรือ ๓ ชั้นที่เก็บเครื่องบินได้ ๒๐๐ ลำ มีองค์ประกอบของสนามบินครบถ้วนหมด
แค่ลำเดียวก็มีเครื่องบินมากกว่าทั้งประเทศไทยแล้ว?????
จบการเรียนกันแล้ว ทีมงานของพี่จุกก็ขอเวลานอกก่อนไปกินข้าว ขอให้ทุกคนอยู่กันในช่วงเซอไพร๊ท์ เซอไพร๊ท์แรกคือชวนกันถ่ายรูปร่วมกัน แล้วมอบเค๊กของขวัญให้คนที่เกิดในเดือนมีนาคม
ฉันได้เสนอไปว่า ไหนๆก็ไหนแล้ว ให้รวมคนที่เกิดตั้งแต่ต้นปีเข้ามาซะเลย คุณติ๋วซึ่งเป็นคนหนึ่งและอีกหลายคนที่เกิดก่อนเดือนมีนาคมดีใจมากๆที่ได้มีเซอไพร๊ท์ด้วย
ลุงเอกเป็นคนกล่าวอวยพรให้กับทุกคนขอให้สามารถทำงานกลุ่มสำเร็จลงด้วยดี เฮรับพรกันแล้ว บรรดาเจ้าของวันเกิดก็ช่วยกันเป่าเทียนและตัดเค๊ก ถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่สนุกสนาน แล้วกลุ่มก็สลายพากันมาเติมท้องให้อิ่มกันที่ห้องกินอาหาร
อาหารวันนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำหมูค่ะ อย่าแปลกใจที่มีหมู ก็ผู้ร่วมห้องเรียนที่เป็นมุสลิมพากันกลับตั้งแต่แยกตัวกันออกจากห้องแล้วค่ะ
อิ่มท้องแล้ว ฉันก็ขอติดรถผู้ร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งไปลงที่ท่าน้ำแถวศรีย่าน แล้วพาตัวไปเตร็ดเตร่แถวสถาบันที่สอนวิชาหมอให้กับฉันอยู่ค่อนวันจึงกลับที่พัก
วันนี้ฉันยังพำนักอยู่ในเมืองกรุงอีกวันด้วยมีนัดกับครูณาแห่งโรงเรียนพ่อแม่นครสวรรค์ว่าจะไปช่วยทำโรงเรียนพ่อแม่ที่ครูณานัดไว้ในวันเสาร์นี้
๒ เมษายน ๒๕๕๓
หมายเหตุ
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ
สุขสันต์วันสงกรานต์ สนุกสนานกับการท่องเที่ยวเมืองไทยนะคะ
นำดอกมะลิหอมๆ พร้อมน้ำขมิ้นส้มป่อยแบบเมืองเหนือมารดน้ำดำหัวทาง blog .... พร้อมกับขอรับพรปีใหม่นี้ด้วยเจ้า....
มาขออ่านค่ะ
อยากฟังลุงเอกบรรยายเรื่องนี้ แต่ก็พลาด เพราะดูแต่ตารางสอนค่ะ
แล้วเจอกันนะคะ