เมื่อครบรอบอีกสัปดาห์แล้วกับการเรียนร่วมใน หลักสูตร สสสส.๒ ในชั่วโมงเรียนของวันที่ ๒๓ เมษายน ไม่รู้มาก่อนว่าใครจะมาสอน จนกระทั่งผู้สอนปรากฏกายขึ้น
เช่นเคยที่ต้องมีนักเรียนเป็นตัวแทนกล่าวแนะนำวิทยากรและเชื้อเชิญท่านขึ้นสู่เวทีเพื่อแบ่งปันความรู้ คราวนี้เป็นคิวของผู้อยู่ในช่วงหมายเลขถัดไปจากกลุ่มของฉัน
ก่อนเริ่มชั่วโมงเรียน ผู้แทนของกลุ่มได้นำประวัติวิทยากรที่ทีมงานลุงเอกเตรียมไว้ให้ ไปปรึกษากับผู้มาเป็นวิทยากรเพื่อประเมินความเหมาะควรของการเอ่ยแนะนำและสาน สัมพันธ์บอกลำดับของการบริหารเวลาให้วิทยากรได้รับรู้ร่วม
เมื่อลุงเอกรู้ว่าวิทยากรมาถึงแล้ว ลุงเอกก็ปลีกตัวจากภารกิจมานั่งคุยด้วย
วิทยากรของวันที่ ๒๓ เมษายนเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ๒ สมัย ที่มีชื่อต้นด้วย “ช.ช้าง” ฉันขอเรียกท่านว่า “ครูชวน” ค่ะ
เรื่องราวที่ท่านมาแบ่งปันเป็นการเปิดมุมมองอีกมุมด้านประวัติศาสตร์นะฉันว่า
หลักหนึ่งที่ครูชวนแลกเปลี่ยน เหมือนกันกับอาจารย์ศรีศักร์ วัลลิโภดม นักประวัติศาสตร์ที่มาเป็นครูย้ำบอก หลักนั้นคือ “จะวิจารณ์อดีตต้องคิดถึงข้อเท็จจริงในสมัยนั้น”
มีตัวอย่างหลายเรื่องที่ครูเล่าให้ฟัง เพื่อชวนให้มองย้อนอดีตอย่างเข้าใจสถานการณ์ในสมัยนั้นแล้วไม่ก่นด่าหรือ ขึ้งโกรธผู้ตัดสินใจ อย่างเช่น
การรักษาอธิปไตยของศาลเป็นเรื่องยากของสมัย ร.๕ และมันเกิดขึ้นในรูปการเสียดินแดนในสมัยรัชกาลที่ ๕
ความมั่นคงทางทหารที่ถูกให้ความสำคัญมากกว่าความมั่นคงทางสังคม และเมื่อเปลี่ยนผ่านมาถึงวันนี้ก็ไม่ค่อยย้ำเน้นและให้ความสำคัญเหมือนสมัยก่อน
ครูเล่าว่าในมุมของสันติวิธีที่สร้างความมั่นคงก็มีอยู่ตั้งแต่อดีต อย่างเช่นการยอมรับความหลากหลายของชนชาติที่อยู่ร่วม เรื่องจีนและมลายูที่อยู่ร่วมกับคนไทยได้อย่างสงบ คนจากชนชาติที่อยู่ร่วมเติบโตแบบได้รับโอกาสจากสังคมไทย เช่น เติบโตในราชการจนกระทั่งเป็นประธานศาลฎีกาได้ ทำให้ไทยอยู่แถวหน้าให้ชาติอื่นมาเรียนรู้
ครูมีความเห็นว่าความหลากหลายของศาสนาเป็นความเข้มแข็งไม่ใช่ความอ่อนแอ ศรัทธา แนวคิด ข้อปฏิบัติ ยุทธวิธีมีความสำคัญ หากไม่เชื่อผลก็เกิดไม่ได้ อยู่ที่ว่าจะนำมาใช้อย่างไรไม่ให้เป็นปัญหา
ครูแบ่งปันให้รู้ว่า ในอดีตนั้นมีการใช้สันติวิธีมาแล้ว ๒ ครั้ง เหตุการณ์นั้น คือเรื่องราวระหว่างอยุธยากับรัฐปัตตานี ในส่วนของความขัดแย้งที่เคยเกิดมีระดับความรุนแรงที่ต่างกันไป ระดับความรุนแรงระหว่างเชียงใหม่กับกรุงเทพฯ และปัตตานีกับกรุงเทพฯ ไม่เท่ากัน
การจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีเป็น กุศโลบายที่พระมหากษัตริย์ทรงมีความรู้และเล็งเห็นว่าควรใช้เครื่องมือใด มีบันทึกที่ร.๖ กำหนดแนวทางปฏิบัติสันติวิธีไว้ชัดเจน ๖ ข้อให้ใช้เรียน
๖ ข้อนี้ในสมัยพระองค์ปฏิบัติจริง แต่ในวันปฏิบัติไม่จริงจึงเกิดความเสียหาย
จุดเริ่มที่ไม่ปฏิบัติและถือว่าเลิกใช้ สันติวิธีคือ ปีพ.ศ.๒๕๔๔
ครูสะกิดให้คิดว่าแนวทางปฏิบัติในปี ๒๕๔๔ ใช้ยุทธวิธีอะไรอยู่ที่เชื่อไหม ครูบอกว่านโยบายไม่ผิด
แล้วก็เล่าต่อว่าสำหรับปัญหาภาคใต้ แนวคิดสันติวิธีเริ่มขึ้นในปี ๒๕๔๔ โดยมีองค์กรเป็นตัวตน ทำงานมาเรื่อยๆ ๓ ปี ต่อเนื่องอยู่ในด้านสภาความมั่นคง จน ๘ เมษายน ๒๕๔๔ เมื่อมีประกาศว่าให้แก้ไขให้ปัญหาจบใน ๓ เดือน ก็เกิดเรื่องราวความรุนแรงขึ้นครั้งแรกในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๔
เรื่องนี้ครูนำมาเล่าแบ่งปันเพื่อให้ข้อ คิดว่า “คนเคารพกฏเกณฑ์เสียเปรียบ เชื่อสันติวิธีแล้วอย่าทำให้สันติวิธีทำลายความถูกต้อง”
สันติวิธีในความเชื่อของครูมีความหมายคือ “การทำให้ข้อขัดแย้งยุติลงได้ด้วยวิธีที่ไม่รุนแรง”
ครูได้แบ่งปันว่า คนไม่มีทำอะไรได้ดีกว่าคนที่มีได้ การยึดข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งไปใช้เป็นหลักไปได้แต่มีความรู้ใช่ว่าจะทำได้ เสมอไป
มีเรื่องอีกยืดยาวที่บรรดาเพื่อนร่วมรุ่นได้ถามครู บางเรื่องที่มีเพื่อนถามเพื่อขอแบ่งปันความรู้พร้อมเล่าเรื่องสิ่งที่ทำไป ครูก็บอกคนถามว่า “ขอให้ท่านทำต่อไป” คนถามได้ฟังคำตอบ ก็แอบมาเล่าว่า “เซ็งเลย ขอให้ออกความเห็นในมุมมองของครูก็ไม่ตอบซะนี่”
คำถามที่น่าสนใจจากเพื่อนๆหลังเวลาเบรค ฉันมีเวลาได้รับรู้ร่วมน้อยเพราะมีนัดเดินทางต่อไปสวนป่าเพื่อร่วมกิจกรรมพัฒนานักเรียนแพทย์จากจุฬาที่นั่น
เรื่องราวที่นำมาเล่าสู่กันฟังตามข้างล่างนี้ ถือเป็นน้ำจิ้มฟังสำนวนตอบคำถามของครูละกันค่ะ
คำถาม : การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดหรือตำรวจ ใช้แก้ปัญหาภาคใต้ได้หรือเปล่า
คำตอบ : เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ใช่โครงสร้างมีปัญหา ศรัทธาและความหลากหลายต่างหากที่เป็นประเด็น การอุ้มฆ่า เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยจอมพลป. ที่ไม่มีการเยียวยา ทำให้การรับโทษกลายเป็นการไม่ต้องรับโทษ การมีท่าทีในปี ๒๕๔๔ จากคำถามมีโจรกี่คน แล้วมีความเห็น มีโจรไม่เกิน ๕๐ คน และผู้ทำหน้าที่ขอเวลา ๖ เดือนในการแก้ปัญหา ซึ่งมีคำต่อรองทำให้สำเร็จภายใน ๓ เดือน เกิดขึ้น แล้วขณะนี้ปัญหาก็ยังมีอยู่
ครูบอกตบท้ายก่อนเบรคว่า “นโยบายความมั่นคงลองไม่ได้ ถ้าไม่มั่นใจในแนวทางไม่ลงมือ สาระสำคัญอยู่ที่ไม่ชี้นำและการนำไปปฏิบัติ แนวทางสันติวิธีไม่ใช่แนวทางของนักกฎหมาย”
แล้วยังทิ้งท้ายเป็นเชิงตั้งคำถาม “นโยบายกับผู้ปฏิบัติจะสอดคล้องกันได้อย่างไร”
แวะมาสวัสดี คุณหมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
...
สันติวิธี..ในบันทึกของคุณหมอ
ทำให้เห็น...อะไรบางสิ่ง บางอย่าง ที่เจือปนอยู่บนความหลากหลาย
...
ด้วยความเคารพและระลึกถึง นะครับ
ปล. อยากฟังเสียงครูชวนจังค่ะ อ่านบันทึก เสียงไม่มาเลยอ่ะค่ะ :-)))
สวัสดีครับ พี่หมอ
แวะมาเยี่ยมเยียนครับ
เป็นบันทึกที่มีคุณค่ามาก ๆ เลยครับ...