เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เป็นโอกาสดีที่รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า อ.วุฒิสาร ตันไชย ให้เกียรตินักเรียนโข่งมาแบ่งปันประสบการณ์ อาจารย์เริ่มต้นด้วยการออกตัวว่าไม่ใช่ผู้ทรงภูมิ เมื่อรู้ว่าต้องมาสอนพวกเรานักเรียนโข่ง อาจารย์บอกว่านอนไม่หลับ เพราะได้ข่าวว่าผู้มาเข้าเรียน ๔ส.๒ มีแต่เกจิทั้งนั้น ซึ่งมันกดดันอาจารย์
อาจารย์ยกเรื่องของการเมืองภาคพลเมืองมาเล่าให้ฟัง ว่า ๔ ปีที่ผ่านมาซึ่งนักวิชาการเห็นเป็นการเติบโตของการเมืองภาคพลเมือง ที่ไม่ใช่การเมืองในสภา หากแต่เป็นการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ทั้งพันธมิตร และนปช.ที่ออกมาแสดงความเห็น แล้วยังมีกลุ่มหลากสี เป็นความเบ่งบานของประชาธิปไตยภาคประชาชน ที่ออกมาแสดงสิทธิเสรีภาพ
พูดถึงเรื่องนี้แล้วอาจารย์ก็โยนคำถามกลับมาว่าเห็นด้วยหรือไม่ มีเงื่อนไขอะไรไหม อย่างนี้เป็นทิศทางประชาธิปไตยใช่ไหม นี่เป็นการเมืองของประชาชนโดยตรง ไม่ใช่การเมืองในสภา เมื่อมีคนแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ว่ามีปะปนกันระหว่างการเมืองในสภาและการเมืองภาคพลเมือง อาจารย์ก็ให้มุมคิดว่าการเมืองภาคพลเมืองนั้น มี ๒ ส่วนที่มอง คือ มองเนื้อหาและสาระ
การที่ประชาชนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ แล้วลุกขึ้นมาปกป้องประโยชน์หรือมีความรู้สึกถึงอำนาจบางอย่างแล้วลุกมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ชอบธรรม อาจารย์เน้นหลักการว่าการตัดสินใจที่มีเป้าหมายต่อประโยชน์ส่วนรวมนั้น การมีข้อมูลข่าวสารที่มากเพียงพอต่อการรับรู้ การมีดุลยพินิจที่นึกถึงส่วนรวมมากกว่าประโยชน์แอบแฝง เคารพในความเห็นที่แตกต่าง ความเคารพในคนอื่นด้วย เป็นเรื่องที่อยากเห็น
อีกแง่คือเป็นเครื่องมือ เป็นการเคลื่อนไหวแบบสร้างพลังของการเมืองภาคพลเมือง ซึ่งมีได้ ๒ แบบ คือ ประนีประนอม ให้ความเห็น การมารวมกัน ปรึกษาหารือกัน กับอีกแบบ คือ การเผชิญหน้า สร้างความขัดแย้ง สร้างพลังต่อรองด้วยการเผชิญหน้า
อาจารย์ย้ำว่าทั้ง ๒ มุม คือ เนื้อหาและสาระควรมีดุลยภาพ แต่ในความจริงที่เกิดขึ้นไม่เป็นดุลกัน ดุลในเรื่องของเครื่องมือและวิธีการมันเยอะแล้วยังก้าวข้ามเส้นบางเส้น เส้นนั้นคือหลักกฎหมาย จึงคล้ายๆกับจะทำอะไรก็ได้แล้ว
ในขณะที่สาระสำคัญของสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวต้องการอะไร จะไปอย่างไร จะให้จบอย่างไร อุดมไปด้วยคำถามแล้วก็ได้คำตอบว่าไม่รู้ เมื่อมีคำถามว่า เมื่อไรจะจบ แล้วยังไง จะเอาอย่างไร ไม่มีคำตอบ
อาจารย์ชวนคิดว่า ๔ ปีที่ผ่านมา ตกลงแล้วระบบประชาธิปไตยของไทยนั้น มีเหตุการณ์อย่างนี้เป็นเพราะระบบตัวแทนตอบไม่ได้ใช่หรือไม่ จึงเกิดการใช้สิทธิโดยธรรมชาติ ใช้สิทธิมนุษยชน
อาจารย์ถามว่าเมื่อเป็นการก้าวข้ามเส้นไปแล้ว อะไรเป็นสาเหตุให้สังคมกลายเป็นแบบนี้ ที่สังคมเลียนแบบกันอย่างนี้ เกิดการทำอย่างนี้จะเอาความไม่ถูกต้องเป็นแนวปฏิบัติ เป็นแบบการเอาอย่างความไม่ดีเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตของสังคมนี้หรือ
อาจารย์เป็นห่วง ๒ เรื่องที่จะมีผลกระทบต่อสังคมในระยะยาว หนึ่งคือหลักกฎหมายเพราะว่าทำแล้วไม่เป็นไร
ในส่วนของอารยะขัดขืน อาจารย์มีมุมมองว่า การขัดขืนทางกฎหมายทำได้ เพื่อให้เกิดการไปแก้กฎหมายทีหลัง แต่ต้องคู่ขนานไปกับการยอมรับว่าผิดกฎหมายด้วย
สังคมที่เห็นๆกันอยู่ว่าสังคมไทยเอื้อต่อการขัดขืนกฎหมายอยู่แล้ว ต่อไปการทำตามกฎหมายจะไม่มีความหมายอีกต่อไป
คำกล่าวที่ว่าต่อไปใครทำตามกติกาจะกลายเป็นคนไม่ฉลาด ไม่ใช้กฎหมายแล้วสังคมนี้จะใช้หลักอะไรดูแล เป็นการพูดคุยที่อาจารย์ชวนให้ไตร่ตรองไม่เบาเลย
ไม่มีความเห็น