ในวันที่ ๖ พฤษภาคมได้เรียนรู้จากอาจารย์วุฒิสาร ตันไชย เรื่องเส้นแบ่งความเป็นกลางด้วย เมื่อเพื่อนเสนอความเห็นว่า ควรนิยามความเป็นกลางก่อน อาจารย์ก็แลกเปลี่ยนว่า ความเป็นกลางขึ้นอยู่กับเรื่องการปฏิบัติอย่างไม่เลือกปฏิบัติ แต่ก็เป็นแค่ระดับความพยายาม เพราะว่าเรื่องที่อยู่ในใจ ในความคิดไม่สามารถสัมผัสได้โดยคนอื่น ไม่สามารถบอกให้คนอื่นสัมผัสเรื่องที่อยู่ในใจได้อยู่ดีเมื่อปฏิบัติ
อาจารย์ชวนคิดว่ามีหลายเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วและอึดอัดกับการปฏิบัติ แต่ก็ปล่อยไปตามเลย อาจารย์เปรียบเทียบว่า ที่สังคมเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยยอมกลับมาดูว่าควรแก้ไขก็เหมือนคนที่กลัดกระดุมเสื้อผิดแล้วอึดอัดกับเสื้อ แต่ไม่ยอมที่จะถอยกลับมาถอดกระดุมแล้วติดใหม่ให้สบายขึ้น ไม่รู้ทำไม
แล้วอาจารย์ก็ชวนคุยเรื่องการแสดงออกที่ก้าวร้าวรุนแรง มีเพื่อนให้ความเห็นว่าการที่ภาคพลเมืองดูเหมือนก้าวร้าว ออกมาส่งเสียงดังเป็นเพราะพูดกันธรรมดาเสียงเบาไป คนไม่ได้ยิน อาจารย์แย้งในข้อนี้ว่าในความเป็นจริงคนได้ยินเสียงที่เบานั้น และจริงๆแล้วอยู่ที่สาระและขึ้นอยู่กับความรู้สึกและการมีปูมหลัง การใช้คุณค่าที่ตัวเองชอบในการตัดสินอะไรบางอย่างเป็นนิยามของความเป็นกลางหรือเปล่า
อาจารย์ชวนมองว่าในทางปฏิบัติความเป็นกลางจะเอายังไงดี ระหว่างหลักความเป็นธรรม หรือความยุติธรรม หรือเป็นไปตามเหตุเป็นผลที่ได้ดุลยภาพของการยอมรับร่วมกัน ไม่ใช่เท่ากันไปทุกเรื่อง
อย่างเช่นผลลัพธ์ของการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ต้องถามใครเลยว่าปฏิบัติหรือเปล่า แค่ถามตัวเองว่าปฏิบัติหรือเปล่าก็สามารถบอกได้แล้ว แม้แต่ในเรื่องของระบบอุปถัมภ์ เส้นแบ่งอย่างไรจึงถือว่าควรยืดหยุ่นถ้าจะเอาพวกเอาเพื่อน แล้วเรียกว่าเป็นกลางเมื่อใช้กับพวกเดียวกัน พื้นที่สีเทาแบบนี้จะเอาแค่ไหน ความเป็นกลางมีเส้นแบ่งที่ไม่ใช่หารเท่าหรือเปล่า
อาจารย์เห็นด้วยกับข้อสังเกตที่เพื่อนแลกเปลี่ยนว่า คนไทยกลัวคนบังคับใช้กฎหมาย ไม่ได้กลัวกฎหมาย การใช้กฎหมายกรณีเดียวกันก็มีการบังคับใช้ที่แตกต่างระหว่างคน ๒ คน อย่างเช่น กรณีรถยนตร์ชนกับสามล้อ ที่เกิดความเสียหายเท่ากัน แต่ต่างกันที่ใครชนใครก่อน ก็มีการปฏิบัติต่างกัน
อาจารย์ย้ำให้สังเกตเรื่องหลักกฎหมายมีแต่ปฏิบัติไม่ได้ ความเป็นธรรมเป็นเรื่องของความรู้สึกและความรู้สึกนั้นมีอะไรหล่อหลอม มีอคติหรือเปล่า
เมื่ออภิปรายกันเรื่องการรักษากฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย หลักการใช้กฎหมาย และเนื้อกฎหมายที่ประกาศแล้วใช้เหมาะสมหรือเปล่า อาจารย์ชี้ว่าความเหมาะสมกับเงื่อนเวลามีเรื่องให้ไตร่ตรองด้วย และเห็นด้วยกับการมองถึงสมุฏฐานของการได้มาของกฎหมาย เนื้อหาการให้อำนาจ และผู้ใช้ใช้อำนาจถูกต้องหรือเปล่า
ในแง่ของการเมืองภาคพลเมืองที่ข้ามเส้นไปเยอะ อาจารย์เห็นว่ามีโจทย์เรื่องการเลือกปฏิบัติอยู่ ถ้าหาคำตอบได้ในเรื่องนี้ก็จะมีทางออก
มีเรื่องที่อาจารย์เป็นห่วงอีกเรื่อง คือในระยะยาวการเคลื่อนไหวอย่างนี้โดยไม่ยอมรับการเมืองในระบบ หรือเห็นว่าการเมืองในระบบแก้ไม่ได้ก็เป็นปัญหา
อาจารย์ชวนให้คิดว่าการเพิกเฉยและเลิกสนใจของภาคพลเมืองต่อระบบการเมืองปกติเป็นเรื่องน่ากลัวหรือเปล่า
ในความเห็นส่วนตัวอาจารย์เห็นว่าเป็นความอันตรายของระบบการเมืองในระยะยาว เพราะหมายถึงการเมืองไม่ใช่ของประชาชนแล้ว ประชาชนไม่ศรัทธาต่อระบบ ไม่ศรัทธาต่อวิธีการแก้ไขในกระบวนการทางการเมือง
อาจารย์เห็นด้วยว่าความศรัทธาต้องมีกลไกในการได้มาและตัวผู้เล่น แต่ตรงนี้ความเป็นกลางก็เริ่มเอียงเพราะแล้วแต่จะชมชอบชื่นชมใคร
อาจารย์ชวนให้มองเห็นว่าตอนนี้ทุกคนบอกว่าการเมืองแก้ไม่ได้เลย แก้ไม่ได้ก็ไม่ศรัทธา และมองต่อไปว่าถ้าการเมืองในระบบไม่สามารถเดินคู่ขนานเพื่อแก้ปัญหาให้ระบบต่างๆเดินไปได้ การมีคนนอกระบบมากขึ้นๆก็เป็นตัวบอกว่าในระบบแก้ไม่ได้
ไม่มีความเห็น