กว่าเครื่องบินจะเหินฟ้าพาฉันบินเข้ากรุง พระอาทิตย์ก็ขอปลีกตัวลับขอบฟ้าไปก่อนแล้ว เมื่อฝนพาตัวนำความชุ่มฉ่ำมาให้ เมฆก็เปิดฟ้าให้ใสสว่างชวนมอง
แม้ไกลออกไปอีกฟากหนึ่งของฟ้าจะยังมีเมฆหนาตาแต่ฟ้าก็ดูสว่างใสกว่าเดิมมากแล้ว วันนี้ผู้คนที่ฝากตัวให้สายการบินแอร์เอเชียพาบินขึ้นฟ้าเริ่มเดินทางพร้อมกันไปกับสายการบินรักคุณเท่าฟ้าด้วยแหละ
แสงสว่างที่เห็นในทั้ง ๒ ภาพเป็นเวลาอีก ๑๕ นาทีก่อนทุ่มตรง
เวลานัดหมายกันของค่ำคืนนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ คือ ๓ ทุ่มครึ่ง ณ ช่องเช็คอิน “ดี” เมื่อเท้าเหยียบสุวรรณภูมิที่เวลา ๒ ทุ่มจึงเท่ากับฉันมาถึงก่อนเวลานัด ไม่เห่อก็เหมือนเห่อเลยเนอะ
ก่อนวันเดินทางจากบ้านมีเสียงโทรศัพท์มาถึงฉันในวันหยุด เสียงหวานๆตามสายถามมาว่า “พี่หมอ จะเดินทางถึงสนามบินกี่โมง” เสียงมาจากน้องจ๋า(พิมพ์ชนก วรรณแจ่ม) ผู้มีประสบการณ์การทำงานในภาคประชาสังคม สาวสวยจากแปดริ้วนั่นเอง เธอโทรมาหาฉันพร้อมความปรารถนาดีที่มีให้ฉันอย่างเต็มเปี่ยม “พี่หมอ จ๋าเตรียม…… ไปเผื่อพี่ด้วย พี่เผื่อที่ว่างไว้ในกระเป๋าด้วยนะพี่” “พี่หมอๆ ของที่เตรียมไปให้ สวยๆทั้งนั้นหละพี่…..”
ได้รับความปรารถนาดีส่งมาให้อย่างนี้ มีรึที่ฉันควรปฏิเสธเธอ แต่เวลาที่เธอโทรมานั้นฉันยังไม่ได้จัดการจองที่นั่งเพื่อการเดินทางเลย เมื่อฉันบอกเธอไปให้รับรู้เรื่องราว เธอก็แค่บอกฉันว่า “งั้นจ๋าจะโทรมาหาพี่ใหม่นะ จะได้นัดเจอกัน”
ครั้งนี้ฉันนำกระเป๋าใบใหญ่ติดตัวมาด้วยหนัก ๑๓ กิโลครึ่งทั้งๆที่ไม่ได้ใส่อะไรไว้มากมาย ระหว่างรอรับกระเป๋าที่โหลดไว้น้องจ๋าก็โทรมาเหมือนรู้ว่าถึงเมืองกรุงแล้ว เธอบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะมาถึง เธอจะแวะไปฝากของให้หลวงพี่และแม่ชีซึ่งไปสายจีนก่อนแล้วมาพบกัน
สุวรรณภูมิยามค่ำคืน แออัดมากกว่าเวลากลางวันมากมาย
คืนนี้สุวรรณภูมิมีผู้คนคับคั่ง ผู้คนดูราวกับมดเดินไปมาขวักไขว่ เมื่อฉันเดินพาตัวมาเรื่อยๆก็ไม่พบใคร มองไประหว่างทางเห็นมีที่นั่งว่างจึงแวะนั่งรอน้องจ๋า อ่านหนังสือระหว่างรอไปพลางๆ ระหว่างรอไม่ได้นึกเรื่องแลกเงินเลย ด้วยไม่ได้คิดว่าอยากซื้ออะไรติดมือกลับมา
นั่งอยู่ไม่นานพี่จิ (จิรภัฎ) และน้องยะ ก็เดินผ่านมา ทั้งคู่เห็นฉันนั่งอยู่ก็แวะมาชวนไปเข้ากลุ่มฉันจึงรู้ว่ามีหลายคนมากันแล้ว แต่ฉันขอตัวรอน้องจ๋าก่อน พี่จิฟังแล้วยิ้มๆไม่ว่าอะไร
ก่อนน้องยะผละไปพร้อมพี่จิ ฉันฝากยาหม่องที่นำมาเผื่อเพื่อนๆให้น้องยะไปช่วยแจกให้ด้วย
รออยู่จนเลยเวลานัดของกลุ่มก็ยังไม่เห็นเงาน้องจ๋า ฉันจึงเคลื่อนตัวไปพบกับกลุ่มซะก่อนเพื่อความสบายใจของทีมที่รอกันอยู่ก่อน
ถึงจุดนัดหมายก็พบกับเพื่อนร่วมทีมหลายคนคุยกันอยู่ บางคนจัดการโหลดกระเป๋าไปแล้ว บางคนกำลังง่วนกับเอกสารประจำตัวที่ไกด์คืนมาให้ติดตัวไว้ เสียงทักทายกันลั่นดังรอบตัว
สมาชิกทีมทะยอยกันมาตามเวลานัดหมาย
คนสวยผมยาวข้างบนคือ ลูกสาวและภรรยาของโค๊ชหรั่ง ประธานรุ่น
เอกสารที่ไกด์มอบคืนให้ติดตัวถูกเก็บอย่าง เรียบร้อยในซองพลาสติกใสติดซิป ทั้งหมดมีพาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบินสำหรับเช็คอิน ใบตม. ไทย อินเดีย ซึ่งเขียนมาแล้วเรียบร้อยเหลือไว้เพียงแต่เซ็นชื่อ จัดการเซ็นชื่อแล้วไกด์ก็ชวนให้นำกระเป๋าไปโหลด แต่ฉันขอผัดผ่อนไว้จนน้องจ๋ามาถึง
น้องจ๋ามาถึงพร้อมคุณอี๊ด (กรศิษฏ์์ ภัคโชตานนท์) ฉันจึงรู้ว่าคนที่เธอแวะไปฝากของถวายหลวงพี่คือคุณอี๊ดนี่เอง เธอชวนฉันปลีกตัวมารับของฝาก เมื่อฉันรับหนึ่งกระเป๋าจากเธอเติมลงไปในกระเป๋าใหญ่โดยไม่มากความกับการจัดการสิ่งของในกระเป๋าซะใหม่ ใช้เวลาแค่เปิดและปิดกระเป๋าการจัดการของฝากก็เสร็จเรียบร้อยทันใจกี๋อย่าง ๒ เรา
ระหว่างเปิดกระเป๋าท่ามกลางผู้คนคุณอี๊ดซึ่งพาตัวมาส่งด้วยยืนยิ้มชอบใจ เมื่อการจัดการสิ่งของเรียบร้อยดีแล้ว คุณอี๊ดก็ขอตัวผละไปจากเรา
จัดการกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ฉันก็มอบกระเป๋าให้ไกด์นำไปเช็คอิน ได้ตั๋วที่นั่งมาหนึ่งใบ ซึ่งไม่รู้หรอกว่านั่งติดกับใคร ใกล้ใครบ้าง รู้แต่ว่าได้ที่นั่งริมหน้าต่างเท่านั้นเอง
นักเรียนโข่งรุ่น ๒ ไปอินเดียครั้งนี้ไม่ขอวีซ่าสักคน
เพราะใช้พาสปอร์ตราชการสีน้ำเงิน และผ่านส่วนตม.ไทยที่จัดไว้เฉพาะ
สักครู่พี่วิเชียร (วิเชียร คุตตวัส) เภสัชกรซึ่งเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีประสบการณ์ในงานภาคประชาสังคมก็เดินมาสมทบ ก่อนชวนกันเดินเข้าไปส่วนในของสนามบิน คุณต้นไม้ (สุชาติ ชวางกูร) ก็พาตัวมาถึง หน้าตาตื่นเต้นทีเดียว สงสัยจะคิดว่าตัวเองมาสายกว่าใครๆ ในมือของคุณต้นไม้มีของหลายถุงติดมาด้วย ในถุงมีทั้งของที่นำมาเผื่อแผ่ เพื่อนๆและของที่ระลึกของรุ่นที่เพื่อนๆมอบหมายให้ไปจัดหา
ของที่คุณต้นไม้นำมาฝากเพื่อนๆเป็นสเปรย์แอลกอฮอล์สำหรับใช้ล้างมือ แต่เพื่อนๆพาตัวเข้าไปส่วนในของสนามบินกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว ของฝากที่นำมาแบ่งปันที่เหลืออยู่จึงต้องหาวิธีนำติดตัวเข้าไป ในที่สุดก็มีทางออกตรงที่ไกด์รับฝากไปเก็บไว้ในกระเป๋าเสบียงของเขา
ถุงของที่ระลึกที่นำมาด้วยนั้นมีหลายถุง พี่วิเชียร น้องต้น (ดิณห์ ศุภสมุทร) น้องจ๋า ก็ช่วยกันแบ่งเบาหิ้วติดตัวผ่านตม.ไทยเข้าไปให้
สำรวจพื้นที่และถ่ายภาพเป็นที่ระลึก เหมือนตลาดติดแอร์ยังไงยังงั้น
มีบูทขายขนมทำขนมให้ดูจะจะ ชิมกันร้อนๆได้ตรงนั้นเลยด้วย
ผ่านตม.เข้าไปแล้วเวลายังมีเหลือ หลายคนที่เข้าไปก่อนหน้าจึงพากันไปหาความสบายใจกันที่เล้าจ์ของสังกัดต่างๆ
มีหลายคนที่หาเล้าจ์ของการบินไทยไม่เจอแล้วพาตัวไปเดินเล่นแทน
ที่จริงก่อนออกจากบ้านฉันเติมอาหารให้ท้องอิ่มมาแล้ว เดินทางผ่านเครื่องบินหนึ่งเที่ยวก็แล้วท้องน่าจะอิ่ม ที่ไหนได้พอถึงเวลาใกล้เที่ยงคืน ท้องกลับร้องเพลงบอกว่า “หิว หิว หิว” ประเมินตัวเองแล้วก็ไม่กล้าปล่อยให้ท้องร้องนาน หันไปดูไม่เห็นใครอยู่ใกล้ให้ชวนไปด้วย จึงตัดสินใจเดินไปหาอาหารใส่ท้องคนเดียว
อิ่มท้องก็จวนเวลาเรียกขึ้นเครื่องนึกไปว่าสงสัยจะเป็นคนทำให้คนอื่นรอซะแล้ว รีบจ้ำเดินกลับมาตรงประตูเรียกขึ้นเครื่อง ที่ไหนได้ต้องรออีกเป็นครู่กว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่อง และมีอีกหลายคนยังไม่ปรากฏตัวให้เห็น
ใครใคร่คุยกับใครก็คุย ใครอยากอยู่เงียบๆก็ปลีกตัวไปหลบมุมซะ
แม้จะดึกแล้ว หน้าตาหลายคนก็สดชื่นไม่เบาใช่ไหม
ระหว่างรอเรียกขึ้นเครื่อง ความสัมพันธ์ของคนในรุ่นแน่นแฟ้นขึ้น คนที่เริ่มซี้กันบ้างแล้วเริ่มเย้าแหย่กันมากขึ้น คนที่ซี้กับใครยังไม่มากก็ปลีกตัวไปนั่งเงียบๆลำพัง
ลืมบอกไปเกี่ยวกับลุงเอก ที่เห็นลุงเอกในภาพข้างบนนั้น ลุงเอกไม่ได้แค่มาส่งหรอกนะค่ะ หากแต่เลือกร่วมเดินทางไปด้วย ด้วยความเป็นห่วง คิดดูเหอะว่าสมาชิกในทีมน่ารักแค่ไหน…..5555
๓ สิงหาคม ๒๕๕๓
ไม่มีความเห็น