เส้นทางที่รถนำพวกเราวนชมเมือง สามารถวิ่งต่อจนไปถึงโบสถ์คริสต์ที่สวยงามแห่งหนึ่ง โบสถ์นี้เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ ชื่อว่า “โบสถ์เซนต์ปอล (St. Paul’s Cathedral)” สถาปัตยกรรมตรงหน้าเป็นศิลปะนำเข้า และบอกถึงอิทธิพลตะวันตกที่แผ่เข้ามาสู่อินเดียโดยอังกฤษ
ลักษณะเฉพาะของสถาปัตยกรรมที่เห็นคือความสูงเพรียว ความโปร่ง ใช้เสาขนาดเล็กรองรับน้ำหนักหลังคา ผนังกำแพงมีพื้นที่น้อย ไม่ดูหนาเทอะทะ รูปทรงหลังคาทรงสูง ประตูมีลักษณะโค้งแหลม (Pointed Arch) หน้าต่างใช้กระจกสี ประดิษฐ์สวยงามเน้นความอ่อนช้อยเหมือนจริง ศิลปกรรมลักษณะนี้มีคนเล่าว่าเกิดมาครั้งแรกในยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง โดยคนในยุโรปสมัยนั้นแสดงความศรัทธาสูงส่งต่อศาสนาผ่านสถาปัตยกรรมประเภท โบถส์ วิหาร
โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในระหว่างค.ศ. ๑๘๓๙-๑๘๔๗ ( พ.ศ. ๒๓๘๒-๒๓๙๐) เป็นช่วงที่อินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแล้ว และเป็นยุคหลังศิลปกรรมนี้รุ่งเรืองในยุโรปมานานกว่า ๕๐๐ ปีแล้ว
เวลาของการสร้างที่ยาวนานถึง ๘ ปีนี้เทียบเวลากันแล้วตรงกับช่วงปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ ๓ ค่ะ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต วันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔)
ลงจากรถก็พากันบันทึกการเรียนรู้ไว้ไปทำการบ้านส่งลุงเอกกันค่ะ
“ศิลปะโกธิก” ที่อ่อนช้อย สง่างามและ ปราณีต
บอกถึงความเชื่อ ความศรัทธาและจินตนาการที่ผู้คนมีต่อศาสนาคริสต์
โบสถ์ที่สวยงามแห่งนี้มีอายุกว่า ๑๕๐ ปีแล้วนะคะ ที่เห็นหน้าตายังดูเอี่ยมอ่องไฉไลอย่างนี้ก็เพราะมีการบูรณะใหม่หลังเกิดแผ่นดินไหวในอินเดียค่ะ เดี๋ยวนี้โบสถ์แห่งนี้ยังใช้ประกอบศาสนพิธีอยู่นะคะ
อายุของโบสถ์อ่อนกว่าวัดบวรนิเวศน์วิหารไม่ถึง ๑๐ ปีค่ะ (วัดบวรนิเวศน์วิหารสร้างสมัย ร.๓ บูรณะใหม่ พ.ศ. ๒๓๗๕ )
เมื่อพวกเรามาถึงโบสถ์หลายคนก็ตั้งใจเต็มที่ว่าจะได้ถ่ายภาพนำมาฝากกัน ที่ไหนได้ก่อนลงจากรถ ไกด์ประกาศว่างดถ่ายภาพในโบสถ์ ส่วนใหญ่จึงได้ภาพถ่ายกลางแจ้งมาให้ดูกัน
ใช้ลีลาวดีและไทรนี่เป็นหลักฐานที่เชื่อได้เลยว่าที่นี่อายุแก่กว่าร้อยปี
มาถึงนี่ก็ยังเจอเพื่อนเก่าค่ะ
ความร้อนของอากาศฤดูมรสุมทำให้หลายคนปรับตัวดูแลตัวเองไม่ให้ป่วยไข้ สิ่งหนึ่งที่หลายคนทำให้ตัวเองคือการเติมน้ำสะอาดให้ตัวเองอยู่เรื่อยๆ ไกด์เราเตรียมการไว้ดี ในรถจึงมีน้ำดื่มบรรจุเสร็จไว้บริการให้ เกือบครึ่งวันที่ผ่านมาแล้วหลายคนจึงเต็มอั้น เมื่อรถหยุดจอดสนิทเสียงถามหาห้องสุขาจึงดังลั่น
การเดินหาห้องสุขาทำให้ฉันมีโอกาสได้สัมผัสธรรมชาติที่มุมร่มรื่นของโบสถ์แห่งนี้ ห้องน้ำของที่นี่ไม่ได้เปิดให้บริการแบบสาธารณะ การไม่ใช้แบบสาธารณะและอยู่ใกล้ร่มไม้ไม่ได้ประกันเลยว่ากลิ่นจะดี เข้าไปใช้จึงได้รู้ว่ากลิ่นเกิดจากความอับของห้องน้ำและการมีน้ำใช้ชำระล้างของเสียค่ะ
ปลดทุกข์ที่จู่โจมแล้วฉันก็พาตัวเข้าไปชมภายในโบสถ์ เข้าไปก็จวนหมดเวลาที่ลุงเอกกำหนดให้ ก็เลยใช้วิชาชะโงกทัวร์เก็บเกี่ยวเรียนรู้ ใช้ทีเผลอของคนดูแลโบสถ์ทำตามกฏคนอินเดียอีกครั้ง แหกกฏห้ามถ่ายภาพเก็บภาพวิถีชีวิตที่เห็นในโบสถ์ส่วนหนึ่งมาฝากกัน
ภาชนะที่บริการไว้ให้ใช้ชำระล้าง หลังปลดทุกข์เบา-หนัก มีขนาดแค่นี้เอง
โชคดีที่สุขภัณฑ์ที่ใช้เป็นแบบชักโครกนะ ไม่งั้นคนเข้าตามหลังดูไม่จืดแน่เลย
ด้วยความที่โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์โปรแตสแตนท์ ทุกวันอาทิตย์ที่พ่อแม่มาโบสถ์เพื่อภาวนา มุมหนึ่งของโบสถ์ได้จัดกิจกรรมให้สมาชิกตัวเล็กๆในครอบครัวที่ตามมาด้วย โบสถ์ใช้กิจกรรมด้านศิลปะสอนศาสนาให้เด็กๆค่ะ
ก่อนออกจากโบสถ์ฉันเห็นตู้บริจาคเงินอยู่ตรงใกล้ๆทางออก ในตู้มีเงินไทยหยอดเอาไว้ด้วย หลักฐานนี้บอกว่าที่นี่เป็นที่ซึ่งคนไทยมักจะมาเยี่ยมมาชมกัน
โบสถ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมได้ทุกวันจันทร์ถึงเสาร์ เวลา ๗ โมงเช้า ถึง ๖ โมงเย็นนะคะ วันอาทิตย์ปิดเพื่อใช้ประกอบศาสนกิจค่ะ
สิ่งที่สอนผ่านศิลปะภาพวาดกระตุ้นให้เด็กรู้จักเรียนรู้ธรรมชาติ
ใช้ธรรมชาติเติมจินตนาการให้เด็ก
ดูเหมือนโบสถ์แห่งนี้ทำหน้าที่เชื่อมโยงศาสนิกของศาสนาคริสต์ทุกนิกายด้วยนะคะ ในบริเวณโบสถ์จึงมีป้ายประชาสัมพันธ์เวลาปิด-เปิดของโบสถ์คริสต์ที่อยู่ใน บริเวณใกล้กันไว้ให้รู้ด้วย ใครอยากไปเยี่ยมชมโบสถ์คริสต์อื่นๆอีก หาป้ายประกาศในบริเวณโบสถ์แห่งนี้ดูได้นะคะ
หมดเวลาที่ลุงเอกกำหนดให้เรียน ทุกคนก็ถูกตามตัวขึ้นรถ น้องเป็นต่อ (อนุสรณ์ ไกรวัฒนุสสรณ์) หนุ่มผู้ทำงานอยู่ในภาคการเมืองด้วยคนหนึ่ง ช่วยทำหน้าที่ในการดูแลว่าคนครบหรือยัง และแล้วรถก็พาพวกเราเคลื่อนตัวไปเรียนต่ออีกที่หนึ่ง ก่อนพาไปกินข้าวค่ะ
โบสถ์แห่งนี้สร้างก่อนมหาตมะ คานธีเกิด ๓๐ ปีค่ะ
๔ สิงหาคม ๒๕๕๓
สวัสดีค่ะคุณหมอ
*** มาชมภาพสวยๆและเรื่องราวดีๆ ที่นำมาแบ่งปัน
*** ขอบคุณค่ะ