หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
พ.ญ. ศิริรัตน์ เอกศิลป์ สุวันทโรจน์

นักเรียนรุ่นเสาร์ ๕ ดูงานต่างประเทศ (๒๐) : อินเดีย - แดงเหลืองในอินเดียก็มี


เห็นมิติวัฒนธรรมที่แฝงอยู่ในเรื่องสีของคนอินเดียและการตั้งชื่อแล้วรู้สึกว่าเขามีอัตลักษณ์ที่ลึกซึ้งเนอะค่ะ

เมื่อคนขึ้นรถกันครบแล้ว พวกเราก็เดินทางเข้าเมืองมากินอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารจีนชื่อ Tong Fong  อาหารที่จัดให้เป็นเมนูบุฟเฟ่ห์ ไปถึงที่ร้านเขายังไม่ได้ทำอาหารอะไรไว้เลย สงสัยพวกเรามาถึงก่อนเวลานัด พี่แดงและน้องนุชใช้กำลังภายในพอสมควรเร่งให้ร้านทำอาหารให้ทันใจ รสชาดอาหารที่นี่อยู่ในขั้นอร่อยสำหรับฉัน มีเมนูผักเยอะดี กินกับน้ำพริกมะขามที่พี่แดงติดกระเป๋าไปด้วยแจ๋วไปเลย


 

ความเร็วของการเสิร์ฟเครื่องดื่มเหมือนในร้านอาหารบ้านเราที่มีคนมากินเยอะมาก

ทั้งๆที่คนมากินจริงๆไม่เต็มร้าน

กินเสร็จแล้วการเดินทางก็เริ่มอีกครั้งคราวนี้ไปที่พิพิธภัณฑ์อินเดีย ไปถึงที่นั่นบ่ายมากแล้ว และก็เช่นเคยห้ามผู้เข้าไปชมถ่ายภาพ กฏที่นี่เคร่งครัด ไม่ให้ผู้ที่เข้าไปมีอะไรติดมือเลย กระเป๋าเงินพอจะพาเข้าไปได้ถ้าใบไม่ใหญ่

คนเฝ้าประตูให้เดินเรียงเดี่ยวเข้าไป ตรวจตั๋วเข้าชมแบบนับหัวกัน  ที่ส่วนหน้ามีซากแมมมอธใหญ่สต๊าฟตั้งไว้  ไกด์ท้องถิ่นกังวลกับพวกเรามาก ดูเหมือนพวกเราทำให้เขาเหนื่อยกับการไม่ใคร่อยู่รวมกลุ่มกัน

ในพิพิธภัณฑ์มีส่วนของปราสาทจำลองที่น่าทึ่ง ชะลอเข้ามาเก็บในตึกได้อย่างไรใหญ่ซะขนาดนั้น พี่เสริฐกับฉันดูกันแล้วเดาว่า สงสัยโครงสร้างอาคารที่เราเห็นนั้นถูกสร้างครอบของโบราณซะมากกว่าสร้างตึก ก่อนแล้วชะลอเข้ามาเก็บ ได้แต่เดาไม่มีคำเฉลยค่ะ

พิพิธภัณฑ์อินเดียเมืองกัลกัตตานี้ใหญ่ที่สุดในอินเดีย  ตั้งขึ้นตรงกับสมัย ร.๓ (พ.ศ. ๒๓๕๗) เก่าแก่กว่าพิพิธภัณฑ์สถานแ่ห่งชาติที่กรุงเทพฯซึ่งตั้งสมัย ร.๕  มีห้องจัดแสดงทั้งหมด ๓๖ ห้อง รวบรวมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุไว้มากมาย

 

กว่าคนจะได้เข้าดู ที่นี่ก็อายุ ๖๔ ปีเข้าไปแล้ว

ดูไม่ออกเลยว่าแก่เกือบ ๒๐๐ ปีแล้ว ( ๑๙๖ ปี)

เดินดูไปก็พอเห็นความเก่าของอารยธรรม เห็นความเกี่ยวข้องของกรีกกับอินเดียอยู่ค่ะ แต่ฉันไม่ใคร่เข้าใจจนสามารถร้อยรัดเป็นเรื่องราวมาเล่าได้

อากาศในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ระบายไม่ดีเลย ตรงที่ไม่มีแอร์อากาศไม่หมุนเวียน มีกลิ่นสาบๆด้วย พี่ๆผู้สูงวัยบางท่านตัดสินใจขอไม่เดินตามไปดูให้ทั่ว ๔ ท่านขอนั่งรอในห้องใหญ่ที่มีแอร์

มีอยู่ชั้นหนึ่งแสดงนิทรรศการวิถีชีวิตของคนอินเดีย ฉันว่าตรงนี้น่าชมกว่าส่วนอื่นๆ ห้องที่อยู่ใกล้ๆกันเป็นสัตว์ใหญ่ๆที่สต๊าฟเก็บไว้  ช้างสต๊าฟในห้องนี้ตัวใหญ่มากกกกกกกกก ตรงนี้มีห้องน้ำอยู่ข้างทางเดิน แล้วมีแต่ห้องน้ำชายแปลกจริงๆ

พวกเราลืมผู้อาวุโสที่ขอนั่งพักรอกันไปเลย จนน้องนุชเข้ามาบอกว่ามีคนหายไป จึงมีคนจำได้ว่าพี่ๆขอนั่งรออยู่ น้องนุชเข้าไปรับตัวมาได้ครบคนขบวนของเราก็เคลื่อนต่อไป

ระหว่างยืนรอรถซึ่งยังไม่มา ก็มีเด็กหนุ่มหลายคนมาห้อมล้อมเสนอขายกำไล มีคนซื้อกันหลายคน ลำดับเวลา ลำดับราคาแล้ว ราคากำไลหดผกผันกับเวลาน่าดูเลยค่ะ  คนที่ไม่สนใจซื้อของจับกลุ่มถ่ายรูปเป็นที่ระลึก สุดท้ายความช้าของรถ ก็ทำให้คนกว่าครึ่งในคณะซื้อกำไลติดมือกลับบ้าน ราคาถูกที่สุดอยู่ที่ ๓ โหลร้อยรูปี แพงที่สุดอยู่ที่โหลละ ๑๐๐ รูปี

ขบวนเดินทางกันต่อไปที่วัดพระแม่ลักษมี ฉันเพิ่งมารู้ทีหลังว่าวัดชื่อนี้มีอยู่ในหลายรัฐ ที่ไปวัดนี้กันก็เพราะมีคนจะไปขอพร

 

หน้าตาศาลาเป็นอย่างนี้ พบเพื่อนเก่ามายืนเรียงแถวทักทายด้วย

ใช้บอกข่าวความสะอาดของสิ่งแวดล้อมได้เลยมั๊ย

พระแม่ลักษมีมีกำเนิดจากฟองน้ำ ในคราวเทวดาและอสูรกวนเกษียรสมุทร ทำน้ำอมฤต จึงได้นามว่า ชลธิชา (เกิดแต่น้ำ) หรือ กษีราพธิตนยา (ลูกสาวแห่งทะเลน้ำนม) เป็นเทวีแห่งความงดงาม ความร่ำรวยและความอุดมสมบูรณ์ มักประทานความสำเร็จในการประกอบกิจการ การเจรจาต่อรอง การทำมาค้าขาย การประกอบธุรกิจทุกสาขาตลอดจนประทานโภคทรัพย์ เงินทอง สมบัติแก่ผู้หมั่นบูชาพระองค์และประกอบความดีอยู่เป็นนิจ ผู้ศรัทธาถือเป็นเทพนารีผู้อำนวยโชค มีน้ำพระทัยเมตตาปราณีอยู่เป็นนิจ เป็นผู้นำมาซึ่งความเจริญทุกประการ นับกันว่าเป็นผู้อุปถัมภ์บรรดาสตรีทุกชั้น

พระแม่ลักษมี มีอีกนามว่า ปัทมา หรือ กมลา  เพราะในขณะที่ผุดขึ้นมานั้นนั่งมาในดอกบัวและมือถือดอกบัวด้วย

ในคัมภีร์วิษณุปุราณะจะกล่าวไว้ว่า พระแม่ลักษมีเป็นธิดาของพระฤาษีภฤคุกับนางขยาติ และเป็นมารดาพระกามเทพ

วัดที่แวะไปเป็นวัดไม่ใหญ่ เดินเข้าไปก็เจอห้ามถ่ายรูปอีกแล้ว  เรียนรู้กันมาแล้วจากหลายที่คนมีกล้องเลยยืนอยู่หน้าวัดให้คนที่จะถ่ายภาพยืนในวัด เท่านี้ก็ซูมกล้องถ่ายภาพมาได้โดยไม่แหกกฏเจ้าบ้าน

วัดที่เห็นเหมือนศาลาหรือเก๋งจีนเล็กๆ มีผู้คนนั่งอยู่ ๒-๓ คน ทั้งชาย-หญิง ชายแต่งกายพราพมณ์นั่งเ็ด็ดใบกระเพราอยู่ เห็นแล้วฉันนึกไปโน่นว่าเด็ดช่วยคนที่บ้านเตรียมทำกับข้าว(มั๊ง) ที่ไหนได้นั่นนะเขาเด็ดไว้บูชาพระของเขาเชียวนา เชยซะไม่มีเลยฉันนี่

 

ตามคนเข้าห้องน้ำไปเก็บภาพ ได้ภาพมาให้ดูอย่างนี้

ซ้าย-อยู่ในวัดพระลักษมี ขวาอยู่ในห้องน้ำชาย พิพิธภัณฑ์อินเดีย

เพิ่งเข้าใจว่าทำไมพราหมณ์แต่งกายด้วยสีขาว ผู้รู้เล่าว่าเมื่อมีการแบ่งวรรณะ สีผิว “ขาว” “ดำ” ที่เคยมีถูกแปลงความหมายไปเป็นเชิงหน้าที่ สีประจำวรรณะถูกกำหนดขึ้นมาคู่กับวรรณะเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์

พราหมณ์- สีขาว  กษัตริย์- สีแดง แพศย์ - สีเหลืองหรือส้ม “ศูทร” - สีดำ

นัยยะความหมายของสีไม่ใช่เป็นแค่ความสวยงามแต่หมายไปถึงระบบคุณค่าของชีวิต  สีที่ถูกกำหนดขึ้นมาแบบเบ็ดเสร็จ มีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึก 

สีขาวคือ ความสะอาดบริสุทธิ์ คนอินเดียเชื่อว่าพวกพราหมณ์เป็นพวกที่สะอาด พวกที่บริสุทธิ์  

สีแดง คือ ความกล้าหาญ การต่อสู้  เพราะพวกกษัตริย์ใช้สีแดง 

สีเหลืองหรือสีส้มเป็นสีของพวกแพศย์ เป็นเรื่องของการติดต่อค้าขาย 

สีดำหมายถึงคนงาน

เก็บภาพจากริมถนน ชีวิตที่มีธรรมชาติเป็นบ้านกับวิธีคิดของคนสมัยใหม่ ตัดกันดีเนอะ

เวลานึกถึงภาพของวรรณะให้นึกถึงภาพของสี เมื่อนึกถึงภาพของสีก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความหมายในชีวิตประจำวัน

การต่อสู้ในวัฒนธรรมของอินเดียโบราณเป็นลักษณะของการต่อสู้เรื่องความเชื่อด้วย สีจึงถูกกระจายไปสู่เทพเจ้าต่างๆ

เมื่อตอนที่อินเดียเป็นเวทีของการต่อสู้ระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำมีพระเจ้าของแต่ละฝ่ายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ได้ต่อสู้กันด้วย เทพเจ้าสูงสุดจึงถูกทำให้เป็นเทพเจ้าของชาวอารยัน เช่น มหาเทพ หรือ “รุทธะ” จะเป็นเทพที่มีสีขาว

เทพในส่วนที่เป็นกษัตริย์จริงๆที่คนไทยรู้จักในชื่อ ท้าวกุเวร จะใช้สีแดง เป็นเทพรักษาแว่นแคว้นแผ่นดิน

บางเทพที่ลักษณะสีไม่ชัดเจน ต่อมาจะถูกทำให้มีความหมายมีสีเข้าไปผสม เช่น พระอินทร์-สีเขียว ตามความหมายเดิมพระอินทร์ในอินเดียคือสีส้ม ส่วนเทพของชนพื้นเมืองเดิม เช่น พระแม่กาลี พระพฤหัส มีสีดำ

อินเดียใช้สีเป็นสัญลักษณ์อยู่ตลอดเวลาจนกลายมาเป็นสิ่งที่มีนัยยะแห่งความหมายในการแบ่งคนเป็นกลุ่มแล้วทำให้เกิดความเป็นเอกภาพ เวลาแบ่งคนเป็นกลุ่มเขาแบ่งจากความเคารพในพระผู้เป็นเจ้า อือ ความคิดนี้สอนอะไรบางอย่างให้ฉันเหมือนกันนะ

คนอินเดียจะตั้งชื่อตัวที่บอกความหมายว่านับถือเทพเจ้าองค์ใด จึงต้องมีสามชื่อ หนึ่งในสามคือชื่อที่แสดงว่านับถือพระผู้เป็นเจ้าองค์ใด  อ่านชื่อคนอินเดียครบก็จะพบว่ามีชื่อที่หมายถึงว่าเขานับถือพระผู้เป็นเจ้าองค์ใด

เห็นมิติวัฒนธรรมที่แฝงอยู่ในเรื่องสีของคนอินเดียและการตั้งชื่อแล้วรู้สึกว่าเขามีอัตลักษณ์ที่ลึกซึ้งเนอะค่ะ

๕ สิงหาคม ๒๕๕๓

หมายเลขบันทึก: 392945เขียนเมื่อ 11 กันยายน 2010 10:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:30 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ดีจ้าพี่หมอเจ๊....

มาเที่ยวด้วยคนค่ะ....

ตอนนี้น้าอึ่งก็ไปเที่ยวเหมือนพี่หมอเจ๊เลยค่ะ....^^

หวัดดีครับ พี่หมอ อยากไปอินเดียมั่ง แต่คงยากส์ อยากไปดูหลายๆอย่าง เช่นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งเก่งมาก แต่ดูสภาพบ้านเมืองแล้ว ดูไม่ค่อยเข้ากัน แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะมีหลายวรรณะ เหลือเกิน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท