หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
พ.ญ. ศิริรัตน์ เอกศิลป์ สุวันทโรจน์

นักเรียนรุ่นเสาร์ ๕ ดูงานต่างประเทศ (๓๖) : อินเดีย - ฟังเรื่องนักเรียนไทย


การเดินทางมาศึกษาที่นี่ทำให้ครอบครัวที่ เมืองไทยมีความอบอุ่นใจว่าพวกเขาจะได้บำเพ็ญกิจวัตรทางศาสนาได้อย่างถูกต้อง สมบูรณ์ดีกว่าการศึกษาที่เมืองไทย อีกทั้งส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยและ วิทยาลัยต่างๆของอินเดียจะมีหอพักสำหรับนักศึกษามุสลิมที่จัดให้สอดคล้อง เหมาะสมกับวิถีชีวิตของชาวมุสลิมและแยกเป็นเอกเทศจากนักศึกษาฮินดู ๒ ประเด็นหลังนี้ฉันว่าน่าคิดสำหรับวงการศึกษาเมืองไทย

ท่านทูตเล่าว่า เราส่งเสริมความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและปฏิสัมพันธ์ในระดับประชาชนกับบ้าน เขา  ศูนย์วัฒนธรรมอินเดียจึงเกิดในบ้านเรา และมีกิจกรรมที่รัฐได้จัดสัมมนาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของการศึกษา เรามีนักเรียนไทยมาเรียนที่บ้านเขาประมาณ ๓ พันกว่าคน เป็นเด็กทุนของสมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ บ้าง ทุนรัฐบาลไทยบ้าง ซึ่งฉันคิดว่าไม่รวมเด็กไทยที่มาเรียนเองด้วยทุนที่บ้านนะ ในเดลีเขาเรียนกันอยู่ที่ DI JNU และ Jamia Islamia

ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อจากสถานทูตมาแล้วว่ามีการรับรองวิทยะฐานะของปริญญา บัตรของกันและกันด้วย อินเดียรับรองปริญญาบัตรของสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ของไทยและมหาวิทยาลัยบางแห่ง

ก.พ.ไทยก็รับรองวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยอินเดียกว่า ๑๖ แห่งทีเดียวละ

มหาวิทยาลัยเดลี (DI) นั้นมีดีที่ภาษาศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บัญชี การบริหารจัดการ เป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ ๒ ของคนอินเดีย เอเชียวีคประกันคุณภาพทางการศึกษาให้ในด้านสาขาทั่วไป รองลงมาจาก JNU การบริหารแบ่งเป็น ๒ วิทยาเขต และมีวิทยาลัยอยู่ภายใต้ทั้งหมด ๘๕ แห่ง เป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง ได้งบจากรัฐบาลกลาง รองประธานาธิบดีของอินเดียเป็นอธิการบดีของที่นี่โดยตำแหน่ง แต่บริหารจริงโดยรองอธิการบดีที่ประธานาธิบดีแต่งตั้งโดยตรง แถมยังมีประธานศาลสูงสุดเป็นผู้ช่วยอธิการบดีด้วย  มหาวิทยาลัยนี้มีที่พักให้คณาจารย์และนักศึกษาด้วยเบ็ดเสร็จ ตามไปชมบรรยากาศกันได้ค่ะ

ว่าแต่ว่าพอเห็นโครงสร้างการศึกษาที่ฉันเล่าว่าเขาใช้มหาวิทยาลัยสร้างชาติกันหรือยัง

บรรยากาศการเรียนรู้ ไม่ได้เคร่งเครียดหรอกนะคะ

ดูจากชื่อและสาขาของมหาวิทยาลัยแล้ว จัดกลุ่มคนไทยที่ไปเรียนอินเดียได้ว่ามีทั้งฆราวาส พระสงฆ์ และมุสลิมเนอะค่ะ  การที่คนมุสลิมไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอินเดียก็มีทั้งเรื่องภาษา และองค์ความรู้ด้านอิสลามศึกษา ทั้งนี้เพราะอินเดียมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยทางศาสนาอิสลามที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

การเดินทางมาศึกษาที่นี่ทำให้ครอบครัวที่ เมืองไทยมีความอบอุ่นใจว่าพวกเขาจะได้บำเพ็ญกิจวัตรทางศาสนาได้อย่างถูกต้อง สมบูรณ์ดีกว่าการศึกษาที่เมืองไทย 

อีกทั้งส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยและวิทยาลัยต่างๆของอินเดียจะมีหอพักสำหรับนักศึกษามุสลิมที่จัดให้สอดคล้องเหมาะสมกับวิถีชีวิตของชาวมุสลิมและแยกเป็นเอกเทศจากนักศึกษาฮินดู  ๒ ประเด็นหลังนี้ฉันว่าน่าคิดสำหรับวงการศึกษาเมืองไทย

ระบบการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับหลักความเชื่อทางศาสนานี้ เขาถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในเรื่องของระบบและรูปแบบของการศึกษาที่อนุวัติตามหลักความเชื่อทางศาสนา การศึกษาและการปฏิบัติกิจวัตรทางศาสนาจึงเป็นไปควบคู่กันขณะที่เป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย 

เมื่อมองกลับมาบ้านเราฉันว่าการศึกษาบ้านเราต่างจากเขาตรงนี้แหละเนอะ

เสน่ห์การศึกษาที่มีมิติทางศาสนาในสังคมอินเดียที่ยังมีความศักดิ์สิทธิ์และมีพลังนี้แหละ ที่ทำให้อุดมศึกษาของอินเดียมีบรรยากาศพลังแห่งการเรียนรู้จนชาวต่างชาติ เดินทางมาอินเดียเพื่อศึกษา

ผู้รู้เขาบอกว่าการศึกษาลักษณะนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ของการศึกษายุคฮินดูและยุคราชวงศ์โมกุล คิดดูเอาเถิดว่าสมัยก่อนอินเดียเป็นเมืองขึ้นอังกฤษเขาเจริญแค่ไหน

ฆราวาสที่ไปเรียนอินเดียนั้น มีคนไทยเชื้อสายอินเดียมากที่สุด เขาไปศึกษาที่นี่ก็เพราะครอบครัวต้องการให้ลูก-หลานของตนเองได้เรียนรู้ใน ความเป็นอินเดียไปพร้อมๆกับวิชาการที่จะนำไปประกอบอาชีพต่อไปซึ่งก็มักจะเป็นสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะที่คนอื่นๆเรียนมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

นอกจากเราเองให้ทุนนักเรียนของเราไปเรียนอินเดียแล้ว อินเดียเขาให้ทุนนักเรียนของเราไปเรียนที่ประเทศเขาด้วยนะ ส่วนใหญ่ทุนที่ให้ก็เป็นทุนด้านศึกษาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ภาษาศาสตร์ พานิชยศาสตร์ และเทคโนโลยี มีทุนต่างๆดังนี้ ทุน Government of India General Cultural Scholarship Scheme(g.c.s.s.) (ประมาณ ๑๐ ทุน)  ทุน Cultural Exhange Program (CEP) (ประมาณ ๔ ทุน) มีทุนเรียนภาษาฮินดี “Propagation of Hindi Abroad” ด้วยซึ่งทุนนี้นักศึกษาที่ได้รับทุนต้องมีความรู้ภาษาฮินดีขั้นพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว

ท่านทูตเมตตามากที่กรุณาบรรยายให้พวกเราฟังด้วยตัวท่านเอง

ผู้รู้เล่าว่าเพราะอินเดียมีความหลากหลายแตกต่างสูงมาก แต่ละที่แต่ละแห่งจึงแตกต่างกันจนทำให้ความเป็นอินเดียในที่หนึ่งแตกต่างไปจากอีกที่หนึ่งอย่างสิ้นเชิง ความเป็นอินเดียที่คนไทยแต่ละคนไปประสบพบเห็นมาจะไม่เหมือนกัน จะให้นึกภาพชีวิตความเป็นอยู่ของนักศึกษาไทยในอินเดียให้ได้ภาพที่ถูกต้องและชัดเจนเป็นเรื่องยากมาก

ฉันเคยได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับการปรับตัวของนักเรียนไทยพอเห็นภาพบ้าง จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังซะเลย ฟังแล้วจินตนาการจะมองมุมบวกหรือมุมลบก็ได้แต่เจ้าของเรื่องเขามองมุมบวกกับมันแล้วค่ะ ณ วันนี้ เช่น

การใช้ช้อนแล้วถูกมองเป็นคนใช้มือเปิบข้าวไม่เป็นแล้วมีสายตาหลายๆคู่มากๆมายืนจ้องมองเวลากินข้าวด้วยช้อน

การแย่งห้องน้ำในหอพักและการเข้านอนในหอพักที่พักร่วมกับเพื่อนๆชาวอินเดีย

การเข้าออกหอพักที่มีกฎระเบียบเคร่งครัดของหญิงและชายซึ่งแยกหอพักกัน  ถ้าคนอินเดียเห็นชายหญิงเดินไปด้วยกันหายลับเข้าหอพัก มีการแจ้งตำรวจมาดู มาจับด้วย

ซื้อจักรยานมาใช้ไม่ยอมเดินทั้งๆที่จุดหมายที่จะไปให้ถึงอยู่ในระยะแค่ ๐-๓ กม. แต่คนอินเดียเขาใช้เดินกัน ก็โดนมองแปลกๆ

การถูกมอง มอง มองและมองที่แม้จะมองสวนกลับไป แขกก็ไม่สนไม่หลบสายตา มองอยู่จนกว่าจะเบื่อ จนคนถูกมองรู้สึกประมาณว่า “มองอะไรกันวะ มองอยู่ได้” แบบนั้นแหละ

ไปซื้อของ ไปตลาด ไปร้านอาหาร เจอราคาสินค้ามหาโหด แท๊กซี่ รถ Auto ที่ถูกโกงราคาเพราะไม่รู้ราคาจริง เช่น ราคาจริงๆประมาณ ๒๐ รูปี ก็ชาร์จ ๘๐-๑๐๐ รูปี ยิ่งถ้าเป็นตอนกลางคืนไม่ต้องพูดถึงราคาเพิ่มเป็น ๒ เท่าเลยทีเดียว

เรื่องอาหารก็มีสารพัด  พิซซ่า แมคโดนัล อาหารจีนมีให้ซื้อแต่ซื้อทุกวันไม่ไหวเพราะแพง กินบ่อยก็เบื่อ 

เครื่องปรุงไทยๆ เช่น น้ำปลา,เต้าเจียว, ซอสถั่วเหลือง และพวก กุนเชียง, มาม่า,อาหารแห้ง, อาหารกระป๋องแพง น้ำปลาขวดละ ๑๒๐-๑๖๐ รูปีเข้าไปโน่น

ฝีมือคนทำกับข้าวก็แล้วแต่บุญพาวาสนาส่งเพราะหอพักในมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้ทำอาหารในหอพัก

ฟังๆไปก็มีเรื่องข้องใจอยู่เหมือนกัน

เป็นความข้องใจที่เกิดจากความสะดุดใจในความเป็นอินเดียที่ไม่เหมือนใครนั่นแหละ

สถานทูตไทยเล็งเห็นว่าหากชาวอินเดียได้มีโอกาสเรียนรู้ภาษาไทยและมีความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ก็จะทำให้การติดต่อสื่อสารและการเจรจาธุรกิจระหว่างชาวไทยและชาวอินเดียมี ความสะดวกและราบรื่นมากยิ่งขึ้น

จึงให้การสนับสนุนการเรียนการสอนภาษา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมไทยในอินเดียอย่างต่อเนื่องโดยการสร้างและกระชับความสัมพันธ์กับสถานศึกษาชั้นนำของอินเดียเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนและนักศึกษาไทยที่ต้องการไปศึกษาในอินเดียและนำไปสู่การแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยของไทยกับอินเดีย รวมทั้งช่วยประชาสัมพันธ์และเสริมสร้างภาพพจน์ของประเทศไทยในแวดวงวิชาการ ของอินเดียด้วย

เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เอกอัครราชทูตจีระศักดิ์ ธเนศนันท์ ณ กรุงนิวเดลี ได้มอบสื่อการเรียนการสอนภาษาไทยรวมทั้งหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยให้แก่ห้องสมุดและห้องปฏิบัติการภาษาของมหาวิทยาลัยให้กับรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเยาวหะราล เนห์รู (Jawaharlal Nehru University , JNU ) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นแนวหน้าของอินเดียที่จัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยมากว่า ๒๐ ปี ภายใต้การดูแลของศูนย์ศึกษาเอเชียใต้ เอเชียกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ (Centre for South, Central, Southeast Asia and Southwest Pacific Studies)  และปัจจุบันวิชาภาษาไทยเป็นหนึ่งในวิชาบังคับสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอกในหลักสูตรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (Southeast Asian Studies) โดยนักศึกษาทุกคนจะต้องลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาไทยเป็นเวลาอย่างน้อย ๒ ภาคการศึกษา (๔ ชั่วโมง/สัปดาห์/ภาคการศึกษา) 

มหาวิทยาลัยนี้ยวาหระลาล เนห์รู มีดีที่วิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยนา

๖ สิงหาคม ๒๕๕๓

หมายเลขบันทึก: 405509เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2010 20:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 16:59 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

หมอเจ้ครับ

ต้องบอกว่าจำนวนนักเรียนไทยในอินเดีย ประมาณ 3 พันคน นั้นถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับโอกาสทางการศึกษาของประเทศอินเดียที่เปิดกว้างสำหรับนักเรียนต่างชาติ

น่าเสียดายที่ภาพพจน์ของอินเดียในสายตาของคนไทยนั้น ยังไม่ค่อยเป็นบวกและชัดเจนนัก ในเรื่องการศึกษาก็เช่นกัน น่าเสียดายที่คนไทยเข้าใจว่าในเมื่อสภาพความเป็นอยู่ในบ้านเราดีกว่าอินเดีย จึงไม่นิยมไปเรียนที่อินเดียซึ่ง คนไทยที่ไปเรียนที่อินเดียจึงมี 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือเด็กที่พ่อแม่ส่งไปเรียนตั้งแต่เด็กในโรงเรียนประจำในรัฐต่างๆ กับพระสงฆ์ที่จบการศึกษาจากสถาบันสงฆ์ไทยในระดับปริญญาแล้ว ก็มักไปศึกษาต่อที่อินเดีย ดินแดนต้นกำเนิดพุทธศาสนา คนที่ไปเรียนด้วยความสนใจจริงๆ จะมีน้อย

การส่งเสริมให้คนของทั้งสองประเทศได้รู้จักกันมากขึ้น ในด้านการศึกษาจึงจำเป้นมากครับ เริ่มจากการให้ทุนการศึกษาระหว่างกัน ให้มากขึ้น จัดให้มีวิชาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยระหว่างกัน ดังที่หมอเจ้บอกไว้นะครับ ก็เป็นที่น่าดีใจว่านอกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีอินเดียศึกษามานานแล้ว ปัจจุบันได้มีมหาวิทยาลัยอื่นๆ เช่นมหิดล จุฬาลงกรณ์ฯ เปิดสอนวิชาอินเดียศึกษาในระดับต่างๆ แล้ว 

ผมยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะส่งเสริมให้คนไทยสนใจอินเดีย (หนังสืออินเดีย ขุมทรัพย์ใต้กองขยะ) แต่ก็จะทำต่อไปครับ และขอฝากทุกท่านที่ได้เคยไปอินเดียและเห็นอินเดียน่าสนใจด้วยว่าช่วยกันเสนอมุมมองต่างๆ ให้คนไทยได้รับรู้มากขึ้น ต้องขอบคุณหมอเจ้นะครับที่นำเสนอบันทึกนี้ได้อย่างเข้มข้น

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท