สวัสดีค่ะ คุณแสงแห่งความดี...สมาชิกใหม่ (เสมือนว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อิอิอิ)
หลังจากเปิดบันทึกฉบับแรกเรื่อง “ข้อคิดจากหนัง "Seven" ทำให้รู้จักกิเลสเพื่อการรู้ตัว” จนถึงบันทึกครั้งล่าสุดที่ผ่านมาคือ “เข้าถึงตัวตน ภาพลักษณ์ 3” หากไม่รวมบันทึกนี้ ก็เท่ากับว่ามี 10 บันทึก ใน Blog นี้ ศิลาจึงใช้เวลาว่างเว้นจากการพักสมองมานั่งทบทวนสิ่งที่นำเสนอ ก็เกิดความรู้สึกว่าเราควรจะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจทิศทางที่เราจะก้าวไป
หากกัลยาณมิตรที่ติดตามแวะเวียนมา Cheer and Share จะเห็นว่าศิลาเปิด Blog ทั้งหมด 11 Blogs แล้ว…“ทำไม เยอะจัง” แต่ละ Blog จะมี Character ที่แตกต่างกันชัดเจน เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของการเปิด Blog แต่ละ Blog ในภาพรวม จะไปนำเสนอใน Blog “เรียนรู้วิธีเรียนรู้" ภายหลังค่ะ
สำหรับ “เหตุผลและอารมณ์” ที่อยู่เบื้องหลัง Blog นี้ จะเล่าสู่กันฟังที่นี้ค่ะ
ศิลาปฏิบัติธรรมครั้งแรกตอนอายุ 14 ปี เพราะอดีตคุณพ่อเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน จัดตั้งชมรมพุทธศาสนาในโรงเรียนแล้ว ลูกสาวตนเองไม่เข้าร่วมกิจกรรมของชมรมคงไม่ได้แน่…
ศิลาสวมชุดขาวปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ…เห็นคนข้าง ๆ เกิดปิติ น้ำตาไหลพรั่งพรู …และอาการของคนอื่น….ตลอดจนสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา….เราก็งง ว่าทำไมเราไม่เกิดอาการใด ๆ …ศิลามีแต่ความสงสัย วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น รอบตัว แทนที่จะดึงสติกลับมา “รู้ตัว” ตอนนอนคนเดียวอยู่ในซุ้มหลังคามุงจากที่กางไว้กลางดินกลางทราย …ก็กลัว “สิ่งที่มองไม่เห็น” ได้ยินเสียงสุนัขหอนก็ปรุงแต่งว่ามันคงเห็นอะไรแน่เลย…
ผ่านมาหลายปี จนเป็นสาวทำงาน…พบกับความทุกข์ใจสาหัส …รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกใบนี้คนเดียว เพราะสูญเสียทั้งคุณพ่อและคุณแม่ เหลือเพียงน้องชายแต่เขาก็กำลังมีครอบครัว…เวลาเศร้าก็หยิบหนังสือธรรมะมาอ่าน…เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
ต่อมา มีรุ่นพี่แนะนำให้ไปอบรมนพลักษณ์กับพระอาจารย์สันติกโร…ศิลาไม่สนใจ ปฏิเสธหลายครั้ง จนใกล้จะถึงวันอบรม รุ่นพี่เขาคงสงสารที่เราไม่มีใคร แถมยัง หยิ่ง จองหอง ดื้อรั้นก็เลยไปจ่ายเงินให้เสร็จสรรพและขอให้ไป
ศิลาก็ไปกับเพื่อนสนิท…จดจำกิจกรรมง่าย ๆ ได้แก่ …การให้อ่านดูข้อความสั้น ๆ อธิบายลักษณ์ 9 ลักษณ์ …และให้ตัดสินเองว่าเราเป็นลักษณ์อะไร…และก็มีกิจกรรมหลายอย่างที่ “ดึงตัวตน” ออกมา เท่าที่จำได้…ได้แก่
การจับมือล้อมเป็นวงกลม “กันไม่ให้กลุ่มคนที่จะถูกทดสอบอยู่ภายในออกมานอกวง” …คนที่อยู่ภายในที่เป็นศูนย์ใจ ก็ไหว้ขอร้องให้เปิดทาง…คนที่เป็นศูนย์ท้องไม่พูดพล่าม ออกแรงเต็มกำลัง พุ่งออกมาได้…คนที่อยุ่ศูนย์สมองทำท่าหลอกล่อ พอมีใครเผลอ ก็วิ่งรอดออกตาม…
และที่ Highlight ก็คือ Typing Interview….ให้แต่ละคนอธิบายตัวตนของตัวเองให้พระอาจารย์ และผู้ช่วยวิทยากรฟังเพื่อเป็นกระจกสะท้อนตัวตนของผู้เล่า
สาระสำคัญคือวิทยากรจะไม่ตัดสินให้ว่า “คุณเป็นลักษณ์” อะไร จะต้องเป็นตัวเขาเองที่จะต้องได้คำตอบเอง…บางคนไม่รู้ว่าตนเป็นลักษณ์อะไรจนถึงวันสุดท้ายของการอบรมในขณะที่คนอื่นรู้ว่าเจ้าตัวเป็นลักษณ์อะไร ก็บอกกัน หรือตัดสินกันเองไม่ได้…เว้นแต่เป็นกระจกสะท้อนกันเพื่อให้เกิดการสังเกตตนเอง.....และมิติมหัศจรรย์ของการเข้าถึงตัวตนก็คือตรงนี้
- การไม่รู้ตัวว่าคือลักษณ์อะไร รู้สึกเบลอ ๆ …คนอื่นรู้ เจ้าตัวกลับไม่รู้….ก็มีลักษณ์นั้นของตนเอง
- คนที่วิจารณ์ผู้อื่น วิพากษณ์สิ่งภายนอก โยนความคิด ความรู้สึกไปยังสิ่งภายนอกมากกว่าย้อนกลับมาดูตนเอง ไม่เข้าใจลักษณ์ตนเอง แต่ไปเข้าใจลักษณ์ผู้อื่น... ก็มีลักษณ์นั้น
- คนที่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับตัวตน กลับมองเห็น เข้าใจว่าตนเป็นลักษณ์นั้น ลักษณ์นี้…ก็มีลักษณ์นั้นของตนเองที่ตนพยายามปฏิเสธ
โชคดีหรือโชคร้ายไม่ทราบที่ ศิลาเป็นลักษณ์ที่หลงอยู่ในความคิดของตัวเอง…ประเภทหมกมุ่นกับตนเอง…จึงรู้ตัวตนว่าเป็นลักษณ์อะไรเร็วมาก รู้ตัวตั้งแต่กิจกรรมแรกที่ถูกทดสอบ
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลังจากรู้ว่าเราเป็นลักษณ์อะไร…เดิมที ศิลาไม่ได้ดูเป็นคนอารมณ์ดีและไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้าง และสิ่งรอบตัวเช่นที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
เดิมที ศิลาหมกมุ่นกับสิ่งที่ตนเองอยากจะทำ …ทำงาน เรียน.. ทำงาน เรียน….และก็เบื่อหน่าย…เซ็งง่าย…หงุดหงิด…ไม่ไว้ใจคนรอบข้าง เกรงว่าเขาจะทำให้เราเสียใจ ก็เลยไม่อยากใกล้ชิดผูกพัน …เวลาได้ยินคนเม้าท์กันก็ หนีห่าง ไม่ชอบ กลัว กลัวก็หนี…แต่เมื่อใดที่จะต้อง Discussion กัน…บอกตามตรงว่าศิลา “เถียง” ชนะด้วยเหตุผลตลอด…
หลังจากศึกษานพลักษณ์แล้ว ทุกครั้งที่เอาชนะกันได้ด้วยเหตุผล ก็เริ่มเฝ้าดูตัวเอง เห็นว่ามันไม่มีความสุขเลย ไม่ได้ลำพอง อิ่มเอม…กลับรู้สึกหดหู่ เศร้าหมอง หากย้อนเวลาได้ จะเปลี่ยนน้ำเสียง เปลี่ยนเนื้อหาบางช่วงบางตอนใหม่...มีสติขณะที่พูดออกไป
http://inlinethumb40.webshots.com/20647/2333109670053655619S200x200Q85.jpg
หลังจากเรียนรู้ การรู้ตัว ก็เริ่มรู้ตัวเร็วขึ้นแทนที่จะมารู้ตัวหลังการปะทะเหตุผลกันแล้ว…ศิลาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็น ดูตัวเองขณะที่กำลังพูดออกไป...เริ่มต้น อธิบายด้วยการตามเหตุผลเขาไปเรื่อย ๆ อย่างใจเย็น แล้วค่อย ๆ ชี้ให้เห็นว่าทำแบบนี้แล้วจะไปตัน ไปพบอุปสรรคตรงไหน…จนเขาเห็นช่องโหว่ของสิ่งที่เขานำเสนอ เราจึงค่อยนำความคิดของเราออกมา…แทนที่เราจะขว้างเหตุผลเราออกไปตั้งแต่แรกเหมือนที่เคยทำ
นอกจากนี้ ศิลาก็ได้รู้จักคนลักษณ์เดียวกันกับศิลา เธออายุมากกว่าศิลา 10 ปี ประโยคเด็ดที่เธอมักพูดเสมอ “พี่ไม่แต่งงานหรอก กลัวความผูกพัน” ทุกวันนี้ เธอก็ครองตัวเป็นโสด เพราะกลัวผูกพันอยู่ ไม่หลุดจากความคิดเดิม
ศิลาก็คงเป็นเหมือนพี่เขา หากว่าไม่พบคนดี…คู่ชีวิตทางธรรมของศิลาขอให้ศิลาไปปฏิบัติธรรม…ศิลาก็ไป…ไปคราวนี้ไม่เหมือนวัยเด็กแล้ว…ขณะที่ปฏิบัติ...ไม่ได้นึกถึงตำราอะไรที่บอกไว้เลย...ไม่ต้องวิเคราะห์หรือสอดส่ายไปยังภายนอก...มองเห็นแต่ภายใน...รู้ว่ามีกิเลสอะไร…ก็ดูมัน...ดูการเกิดและดับ…ไม่ได้รังเกียจ…ดูไปเรื่อย ๆ ….ดูเจ้าตัวฟุ้งซ่าน ความกลัว …และมีอื่น ๆ อีกมากมาย…ซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน…
สังเกตไหมว่า กิเลสที่เราดูมันจะไม่เหมือนกัน…”ตัวโกรธ” ไม่ค่อยแวะเวียนมาเยี่ยมให้ศิลาเฝ้าดูเท่าไหร่
ทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าศิลาละกิเลสได้แล้ว…ศิลาแค่เปลี่ยนจากการหมกมุ่นกับตัวเองแบบไม่รู้ตัว เป็นรู้ตัว "ดูการหมกหมุ่น ฟุ้งซ่านของตนเอง" ....ศิลาลดความกลัว ความฟุ้งซ่านได้เองโดยไม่ได้บังคับให้มันหายไป ลดและละได้ชั่วขณะที่รู้ตัว…และอยู่ ๆ ก็มีพลังมากมายที่จะออกไปทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน จากเดิมที่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง การรู้จุดอ่อน ข้อด้อยของตนแล้ว เราจะเกิดภาวะการละทิ้งมันเอง…
ศิลาสังเกตเห็นว่าในโลกที่เรายังต้องดำเนินชีวิตต่อไป…ศิลาได้เปลี่ยนแปลงไป…พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ทำงานบอกว่าศิลาอารมณ์ดีขึ้น ศิลาเข้ามาใกล้ชิดพวกเขามากขึ้น พูดอะไรก็เข้าถึงความเป็นจริงมากขึ้น… มีอีกมากมาย …คำชมเราไม่ขอเน้นมาก จะทำให้ตนเองเหลิงได้…
ถึงตรงนี้ ...ไม่จำเป็นต้องเชื่อสิ่งที่ศิลาเล่ามาทั้งหมดก็ได้ แต่การสงสัย ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์อันใดแก่เรา...แค่ลองปฏิบัติดูจะรู้เอง...
เพียงอยากเน้นว่าตราบใดที่เรายังอยู่ในสังคมทำงาน เกี่ยวข้องกับผู้อื่นหลากหลายมากมาย มีสิ่งที่มากระทบใจเรานับไม่ถ้วน และสิ่งที่เราจะแก้ไขได้ก็คือ “แก้ไขตนเอง” ป้ายที่เขียนไว้ในวัดหนองป่าพงของหลวงปู่ชา
“ท่านให้แก้ไขตัวเราเอง ไม่ใช่ไปแก้ไขอย่างอื่น”
สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ตามแต่จริตคนเรา หากท่านใดไม่ชอบ ไม่ถนัด ก็ไม่เป็นไร… เราเริ่มต้นต่างกันได้ค่ะ…แต่โปรดเชื่อเถอะว่า เรากำลังมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน…จงเชื่อมั่นในความดีของกันและกัน เท่านั้นพอค่ะ….
เพิ่งลงบันทึก “แนวทางปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ชา” สองตอนใน Blog “การสร้างธรรมในใจ “รู้ ละ แจ้ง เจริญ” จึงขอยกมาบางช่วงบางตอน
แนวทางภาวนาก็แตกต่างกันแต่เพียงรูปแบบเท่านั้น ไม่ว่าท่านจะเดินทางสายหนึ่งสายใด เดินช้าหรือเดินเร็ว ถ้าท่านมีสติอยู่เสมอ มันก็เหมือนกันทั้งนั้น ข้อสำคัญที่สุดก็คือแนวทางภาวนาที่ดีและถูกต้องจะต้องนำไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ลงท้ายแล้ว ก็ต้องปล่อยแนวทางการภาวนาทุกรูปแบบด้วย ผู้ปฏิบัติต้องไม่ยึดมั่น….
ท่านต้องสำรวจตัวเองรู้ว่าท่านเป็นใคร รู้ทันกายและจิตใจของท่าน จงรู้ความพอดีพอเหมาะสำหรับตัวท่าน ใช้ปัญญาในการฝึกปฏิบัติ จงมีสติรู้ว่าอะไรเป็นอยู่ ท่านจะมองเห็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ และความดับไปแห่งทุกข์ แต่ท่านต้องมีความอดทน และต้องทนได้ ท่านจะค่อยๆได้เรียนรู้ อย่าปฏิบัติเคร่งเครียดจนเกินไป อย่ายึดติดอยู่กับรูปแบบภายนอก จงเป็นปกติตามธรรมชาติ พระวินัยของพระสงฆ์และกฎระเบียบของวัดสำคัญมาก ทำให้เกิดบรรยากาศที่เรียบง่ายและประสานกลมกลืน แต่จำไว้ว่าความสำคัญของพระวินัยของพระสงฆ์คือการเฝ้าดูเจตนาและสำรวมจิต ท่านต้องใช้ปัญญาอย่าแบ่งเขาแบ่งเรา ดังนั้นจงอดทนและฝึกให้มีคุณธรรมมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ เป็นปกติตามธรรมชาติ เฝ้าดู้จิต นี่แหละคือการปฏิบัติของเรา ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่เห็นแก่ตัว และความสงบสันติ
ข้อมูลจากhttp://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_cha/lp-cha_04.htm
ชยพร แอคะรัจน์
ผมแวะมาหา เพราะที่ผ่านมามีอะไรเข้ามากระทบมากเหลือเกิน
ใช้ความรู้สึกจัดการกับตัวเอง....อดท้อถอย ไม่ได้....
คิดอยู่เสมอว่า....เมื่อเราคิด ดี...(แม้จะไม่ถูกใจใครไปซะหมด)
สิ่ง....ดี ที่เราคิดก็จะอยู่กับเรา....
การถูกจ้องมอง(ในทางนิเสธ)...โดยใครที่เราคาดเดาไม่ได้
มันเหมือนถูกคุกคาม....สัญชาติญานของเรา...ทำให้เราต้องถอย
และตั้งหลัก.... เพราะการตั้งหลัก....เป็นการโต้ตอบที่ไม่มีใครสูญเสียหรือบาดเจ็บ
รอเวลา....เพื่อแก้ไขตนเอง ไม่ใช่ไปแก้ไขอย่างอื่น
ผมยังคง รู้สึก ดี กลับสิ่งนี้อยู่ครับ open mind
คุณศิลาคะ บางท่านบอกว่ายังไม่ถึงเวลา ทรายอยู่แถบอีสานโดยปกติจะไปวัดกับแม่เป็นประจำเป็นวัดใกล้บ้าน ไปเพราะหน้าที่ลูกต้องพาแม่ไป เมื่อย้ายมาอยูไกลแม่ก็ไปวัดเพราะคิดถึงแม่ไปเฉพาะเสาร์กับอาทิตย์ ตามสะดวก มีพี่ๆชวนไปวัดที่สอนธรรมชาติให้กับตัว เราแรกๆก็ปฏิเสธหาข้ออ้างสารพัด จนกระทั่งวันหนึ่งท่านเอารถมาบังคับเธอต้องไปกับพี่ ไปเพราะไม่มีข้ออ้างแล้วกลับพบทางที่เราสามารถรู้จักตัวเราได้ จนเดี๋ยวนี้ไปทุกครั้งที่มีโอกาส พระท่านบอกว่าบางครั้งยังไม่ถึงเวลาค่ะ
แวะมาเยี่ยมครับ
-/\- ธรรมะดี ๆ จากหลวงปู่ชาด้วยครับ
สวัสดีครับ ขออนุโมทนาในวิทยาทานที่นำมาฝาก..หากทำได้ก็ขอให้มีบันทึกตอนต่อไปอีก ขอบพระคุณ ครับ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ
มาอ่านมาอ่านสาระดีมากมาก..น้อมรับค่ะ
ดีใจด้วยที่คุณศิลาพบที่พึ่งคลายเหงาคลายเศร้า
ชีวิตเราไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิดนะคะ
ยังมีอะไรอีกหลายหลายอย่างรอเราอยู่ จริงไหมคะ...
สวัสดีค่ะ คุณแสงแห่งความดี...สมาชิกใหม่ (เสมือนว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อิอิอิ)
เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ดีไหมคะ
ขอยกคำกล่าวของคุณแสงแห่งความดีมาใหม่นะคะ
ผมแวะมาหา เพราะที่ผ่านมามีอะไรเข้ามากระทบมากเหลือเกิน
ใช้ความรู้สึกจัดการกับตัวเอง....อดท้อถอย ไม่ได้....
คิดอยู่เสมอว่า....เมื่อเราคิด ดี...(แม้จะไม่ถูกใจใครไปซะหมด)
สิ่ง....ดี ที่เราคิดก็จะอยู่กับเรา....
การถูกจ้องมอง(ในทางนิเสธ)...โดยใครที่เราคาดเดาไม่ได้
มันเหมือนถูกคุกคาม....สัญชาติญานของเรา...ทำให้เราต้องถอย
และตั้งหลัก.... เพราะการตั้งหลัก....เป็นการโต้ตอบที่ไม่มีใครสูญเสียหรือบาดเจ็บ
รอเวลา....เพื่อแก้ไขตนเอง ไม่ใช่ไปแก้ไขอย่างอื่น
ผมยังคง รู้สึก ดี กลับสิ่งนี้อยู่ครับ open mind
หากจะเริ่มต้นเป็นแสงแห่งความดี ...ก็จะมีบททดสอบมากมายเข้ามามากมายค่ะ สิ่งที่ศิลาจะกล่าวต่อไปนี้ สูดลมหายใจลึก ๆ ทำใจให้เป็นกลาง รู้สึกสบาย ๆ ผ่อนคลายนะคะ 1...2...3...
โอมเพี้ยง...หาย (เจ็บหนอ) แล้ว...เปล่าค่ะ ยังไม่ได้เริ่ม...
จมดิ่งไปกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ให้ลึกลงไปเรื่อย ๆ นะคะ...ความลึกของอารมณ์ที่ถูกกระทบมันวัดค่าไม่ได้...
พอถึงจุดหนึ่งก้นบึ้งที่วัดความลึกไม่ได้...มันจะดีดตัวขึ้นมาเหมือนคนกำลังจมน้ำ จนต้องพุ่งพรวดขึ้นมาหายใจ...และสำลักน้ำออกมา...
สิ่งกระทบใจใด ๆ จ้องดูดี ๆ มันอยู่กับเราไม่ได้นานหรอกค่ะ...เดี๋ยวมันก็หายไป...ไม่มีใครอยากจะจมน้ำตายหรอกจริงไหมคะ
อยู่กับตัวเอง ดูใจตัวเอง ที่มันถูกกระทบ ...เจ็บหนอ เจ็บหนอ...
หายแล้ว บอกด้วยนะคะ...
เราใช้สัมผัสแห่งหัวใจคุยกันนะ...จูนตรงไหมเอ่ย...งงก็บอก จะได้แปลงรหัสใหม่...
ระลึกถึงเสมอค่ะ อย่าลืมมาส่องแสงแห่งความดีที่ดีอีกนา รออยู
ยิ้มหน่อยนะ
ธรรมะ นี่เป็นธรรมชาติมากครับ
คุณพี่ศิลาเล่าได้เป็นธรรมชาติเรียบง่ายสบาย ๆ มากครับ
ดีใจที่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้
สวัสดีคะ คุณศิลา เพิ่งแวะเวียนมาเป็นสมาชิกใหม่ ขอบคุณนะคะสำหรบสิ่งดีดีที่แบ่งปัน อ่านแล้วมีพลังต่อสู้กับชีวิตมากเลยคะ เคยคิดจะไปฝึกธรรมะตามสถานที่ต่างๆ ก็ไม่มีโอกาสซักที แต่ก็เอาธรรมะมาใช้ในชีวิตบ่อยๆนะคะ และคิดว่าตนเองก็Open mind + Service mind
พาหลานมาซึมซับสิ่งดีงาม ขอบพระคุณ
สวัสดีค่ะคุณศิลา
แวะเวียนมาอ่านด้วยความระลึกถึง...กัลยาณมิตร ค่ะ
ภารกิจยุ่ง ๆ คงลุล่วงไปบ้างแล้วนะคะ
มีการทำ AAR เป็นระยะ ๆ เป็นสิ่งที่ดีค่ะ ยิ่งบันทึกนี้ถือได้ว่าเป็น หัวใจ ของหลาย ๆ บันทึกของคุณศิลาที่ผ่านมา อ่านบันทึกเดียวเหมือนอ่านหลายบันทึกพร้อมกัน ตามประสาคนสมาธิสั้น ... ฮา....
คนไม่มีรากยังไม่เคยไปวัดหนองป่าพงเลยค่ะ แต่ก็มีบุญที่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่าน ชอบมากที่ตรงนี้ค่ะ
“ท่านให้แก้ไขตัวเราเอง ไม่ใช่ไปแก้ไขอย่างอื่น”
รู้คนอื่นหมื่นแสน ไม่เท่ากับ "รู้จักตนเอง"
ตามความเข้าใจจากการศึกษามาบ้าง.. นพลักษณ์ทำให้เราเข้าใจ "เกราะ" ของตัวเอง เพื่อที่จะก้าวข้ามไปสู่ การพัฒนาตัวตนที่แท้จริงของเราได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เน้น "การรู้จักตัวเอง" เป็นหลัก
....ไม่ใช่เพื่อการเข้าใจว่าคนอื่นเป็นคนลักษณะอย่างไร...เพราะแม้เราจะทราบว่าคนอื่นเป็นลักษณ์อะไร เราก็เปลี่ยนคนอื่นไม่ได้อยู่ดี...
ด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ล้วนต้องเกิดจาก "ภายใน" ที่ต้องการเปลี่ยนของตัวเขาเอง
คิดถึงคุณศิลาค่ะ
(^___^)
มาทักทายค่ะ
(^___^)
ไม่ทราบดอกอะไรค่ะ
เข้ามาเยี่ยมค่ะ ขอให้รู้กายรู้ใจนะคะ
มารับพลังค่ะ อยากมีคนมาพาไปมั่ง ชีวิตนี้ยังไม่มีใครมาชวนไปปฏิบัติเลยค่ะ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าหากมีโอกาสไปยังสถานที่ปฏิบัติธรรมเมื่อไรจะเดินเข้าไปทันที ตอนนี้ขอใช้ความเป็นตัวตยดูตัวตน แก้ไขตัวตนที่ไม่ใช่ของตัวตนค่ะ
ขอบคุณค่ะที่ชี้แนะ
สวัสดีค่ะคุณพี่ krutoi ขอยกคำกล่าวมาอีกครั้งค่ะ
มารับพลังค่ะ อยากมีคนมาพาไปมั่ง ชีวิตนี้ยังไม่มีใครมาชวนไปปฏิบัติเลยค่ะ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าหากมีโอกาสไปยังสถานที่ปฏิบัติธรรมเมื่อไรจะเดินเข้าไปทันที ตอนนี้ขอใช้ความเป็นตัวตนดูตัวตน แก้ไขตัวตนที่ไม่ใช่ของตัวตนค่ะ
ขอบคุณค่ะที่ชี้แนะ
ศิลาเชื่อมั่นในตัวคุณพี่ krutoi ค่ะ ปฏิบัติอยู่แล้วทุกขณะจิตที่รู้ตัว เพียงแค่รอ ธรรมะจัดสรรให้เท่านั้นเองค่ะ