การรักษาน้องติ๊กเริ่มต้นขึ้นและสิ่งที่ติ๊กต้องเผชิญและตั้งรับอย่างเลี่ยงไม่ได้คือฤทธิ์เดชของยาเคมีบำบัด ขึ้นชื่อว่ายาเคมีบำบัดใครๆต่างก็กลัว มันรุนแรงถึงขั้นทำลายนอกจากมันจะทำลายเซลล์มะเร็งแล้ว มันยังทำลายเซลล์ที่ดีของร่างกายเราไปด้วย การรักษาติ๊กเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากโรคมีการกลับซ้ำอยู่หลายครั้งหรือทางการแพทย์เราเรียกกันว่า relapse แม่พาติ๊กเดินเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นจนติ๊กกลายเป็นขวัญใจพี่พี่พยาบาลทั้งตึกไปแล้ว ติ๊กเป็นเด็กน่ารัก ยิ้มเก่ง รู้เรื่องเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่โรคมะเร็งก็ไม่เลือกว่าใครเป็นใคร ไม่เคยปราณีแม้กระทั่งเด็กตัวเล็กน่ารักอย่างติ๊ก
การรักษาติ๊กใช้เวลายาวนานอยู่ถึง 10 ปี กระทั่งในเช้าวันหนึ่งขณะที่ติ๊กกลับเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกครั้งด้วยอาการมีก้อนที่ลูกอัณฑะ นี่เป็นอีกหนึ่งสัญญาณบอกเหตุว่าโรคมีการกำเริบและได้ลุกลามไปอวัยวะอื่นแล้ว “สงสารน้องติ๊กจังเลยเน๊าะ อยากให้น้องติ๊กหาย” พยาบาลคนหนึ่งพูดขึ้นขณะส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยที่ตัวเองดูแลให้กับพยาบาลอีกคนหรือที่พวกเราเรียกกันง่ายๆว่าส่งเวร อาจารย์หมออรุณีมีจำเป็นอีกครั้งที่ต้องบอกข่าวร้ายกับติ๊กและแม่ วันนั้นฉันมีโอกาสเข้าไปนั่งฟังเป็นเพื่อนแม่ติ๊กในฐานะที่ฉันเป็นพยาบาลเจ้าของไข้ ส่วนติ๊กนั่งรอแม่อยู่ที่เตียงคนไข้ หลังรับฟังข้อมูลทุกอย่างครบถ้วน และหมอทุกคนก็เดินออกไปจากห้อง เหลือเพียงฉันกับแม่ติ๊กที่ต้องคุยกันต่อ แม่ติ๊กทำอะไรไม่ถูกพร้อมกับคำถามมากมายที่พรั่งพรูออกมา“ ทำไมทั้งๆที่เราเต็มที่แล้วแต่ลูกเราทำไมไม่หาย ติ๊กบอกกับหนูเสมอว่าเขารู้ว่าโรคจะไม่หาย แต่เขาบอกว่าเขายังไม่อยากตาย” แม่ติ๊กระบายความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่ต้องรับฟังข่าวร้ายที่เกี่ยวกับลูกอีกเป็นครั้งที่ 2ให้ฉันฟัง ฉันจับมือแม่ติ๊กไว้แล้วก็บอกว่า เรายังไม่หมดหวังซะทีเดียวเรายังมีทางเลือกในการรักษานั่นคือการรักษาแบบประคับประคอง โดยเน้นให้น้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ทุกข์ทรมาน ฉันเล่าให้แม่ติ๊กฟังว่าเร็วๆนี้ทางทีมนำทางคลินิกกุมารเวชกรรมร่วมกับ Wishing well foundation หรือมูลนิธิสายธารแห่งความหวัง จะจัดกิจกรรมพาน้องเที่ยวทะเลโดยกิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะเติมฝันให้กับเด็กมะเร็งระยะสุดท้ายให้ฝันเป็นจริง “ ติ๊กเขาเคยใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งอยากไปเห็นทะเลแต่หนูคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีปัญญาพาลูกไป” แม่ติ๊กบอกกับฉัน เมื่อได้ยินดังนั้นฉันจึงไม่รอช้าที่จะให้ติ๊กและแม่เป็นหนึ่งในคนไข้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทริปนี้ และทั้งทีมการดูแลรักษาไม่มีใครขัดข้องโดยเฉพาะอาจารย์หมออรุณี และอีกท่านหนึ่งที่เป็นเหมือนอาจารย์พ่อของเด็กๆคืออาจารย์หมอสุรพล ต่างก็มีความเห็นตรงกันว่าอยากให้ติ๊กไป
เมื่อถึงกำหนดวันเดินทาง แม่บอกว่าติ๊กตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เราออกเดินทางจากขอนแก่นเวลา ประมาณ 5 ทุ่มโดยจุดหมายปลายทางของเราคือหาดจอมเทียนพัทยา เราไปกันทั้งหมดสิบกว่าชีวิตมีเจ้าหน้าที่ 3 คนคือฉัน พี่แดงพยาบาลในทีมเดียวกัน และอาร์ม นักสังคมสงเคราะห์ เราเดินทางไปถึงที่พักคือโรงแรมแอมบาสเดอร์ หาดจอมเทียนพัทยา 8 โมงเช้า กิจกรรมที่เราพาเด็กๆเข้าร่วมคือกิจกรรมโครงการคนหล่อขอทำดี ที่นิตยสารสุดสัปดาห์ร่วมกับคลื่น Seed radio นำโดยคุณตุ้ย ธีรภัทร์ สัจจกุล และเหล่าดีเจหนุ่มหล่อจัดขึ้นเพื่อให้กำลังใจกับน้องๆที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งโดยจัดให้มีขึ้นถึง 2วัน วันนั้นติ๊กเข้าร่วมกิจกรรมทุกกิจกรรมโดยไม่แสดงท่าทีเหน็ดเหนื่อยไม่ว่าจะเป็นการเพ้นเสื้อ เล่นน้ำทะเล ฉันแอบเห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของติ๊กขณะที่ลงเล่นน้ำทะเล ตกเย็นติ๊กยังร่วมสนุกบนเวทีกับนักร้องชื่อดัง ลีเดีย ศรัณรัตน์ ที่สำคัญมีโอกาสได้หอมแก้มลีเดียด้วย ติ๊กกลายเป็นขวัญใจของทุกคนและสร้างสีสันตลอดงานสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่มาร่วมงานในค่ำคืนนั้นโดยเฉพาะรอยยิ้มและท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ของติ๊ก
เสร็จจากการร่วมกิจกรรมในครั้งนี้สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันได้คิดก็คือการที่ทีมการดูแลรักษาได้ให้โอกาสเด็กคนหนึ่งที่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเวลาแห่งชีวิตของเขาเหลือน้อยเต็มทน ได้ทำในสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน ได้ทำในสิ่งที่เขาไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาส และสิ่งที่ติ๊กบอกกับเราก็คือ “ ติ๊กได้มาเห็นทะเล ได้มานอนโรงแรมห้าดาว กินอาหารอร่อยได้กระทบไหล่ดาราชื่อดัง ถึงแม้ ติ๊กจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ”มันเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าการให้ทรัพย์สินเงินทอง นั่นคือค่าของการที่เราได้ดูแลจิตวิญญาณของเด็กคนหนึ่งให้เขารู้สึกว่าคุณค่าและความหมายของชีวิตนั้นเราสามารถค้นหาให้กับตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งในเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ก่อนวาระสุดท้ายจะมาถึง ........วันนี้ติ๊กได้จากพวกเราไปแล้ว จากไปอย่างสงบในอ้อมกอดของครอบครัวและบ้านที่ติ๊กรักที่จังหวัดหนองบัวลำภู.........หลับให้สบายนะน้องติ๊ก
สุธีรา พิมพ์รส
16 มีนาคม 2552
สวัสดีค่ะ มาเป็นกำลังใจค่ะ
ขอบคุณค่ะพี่ครูป้อม
ขอบคุณอีกครั้ง