...ถ้ามรรคอันนี้ไม่กล้า กิเลสก็ครอบได้ ถ้ามรรคกล้า มรรคก็ฆ่ากิเลส ถ้ากิเลสกล้า มรรคอ่อน กิเลสก็ฆ่ามรรค...
- วันเสาร์-อาทิตย์ที่ 8-9 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปสอนศูนย์อุบลราชธานีเป็นครั้งแรก เย็นวันเสาร์หลังจากสอนเสร็จ ผมก็ไม่รอช้าที่จะรีบเดินทางไปวัดหนองป่าพง ซึ่งเป็นวัดที่พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท) ได้เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2497 โดยลึก ๆ ในใจนั้นตั้งใจจะไปหาหนังสือคำสอนของท่านกลับมาอ่าน
- ตอนที่เดินทางไปถึงวัดนั้นเป็นเวลาที่พิพิธภัณฑ์ของท่านปิดแล้ว จึงตัดสินใจไปกราบเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของหลวงปู่ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปประมาณ 400 เมตร
- ระหว่างที่เดินเข้าไปนั้นพบว่าเป็นสถานที่สงบร่มรื่นมาก ที่ต้นไม้ข้างทางเดินนั้นจะมีพระธรรมคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ชาติดอยู่ กระผมเองก็พยายามอ่านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะยิ่งอ่านยิ่งสงบและได้ความรู้มากขึ้น
- จนเดินไปพบทางแยกขวามือ เห็นป้ายชี้บอกทางไปกุฏิมรดกธรรมฯ ถึงแม้จะมีเวลาน้อย แต่เมื่อมองไปตามทางเดินก็เห็นกุฏิอยู่ไม่ไกลนัก พวกเราจึงเลี้ยวขวาเพื่อไปดูอย่างเร่งด่วน เห็นประตูเปิดอยู่และอ่านป้ายแจ้งเวลาปิดเปิดเอาไว้ว่าใกล้จะถึงเวลาปิดแล้ว ยิ่งทำให้พวกเรารีบเข้าไปกราบพระภิกษุที่ท่านอยู่ข้างใน โดยไม่ได้สังเกตุบริบทรอบข้าง
- พอกราบท่านเสร็จท่านก็ทักว่า "มาเอาหนังสือใช่ไหม ?" และท่านก็ชี้ไปยังตู้หนังสือ ทำให้ผมสังเกตุเห็นว่า จริง ๆ แล้วห้องนั้นเป็นห้องสำหรับเผยแผ่พระธรรมคำสอนของหลวงปู่ชาทั้งในรูปแบบหนังสือและซีดี
- ที่ตู้หนังสือจะระบุต้นทุนของหนังสือแต่ละเล่มเอาไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ราคาถูกมาก 10,15,20 บาท และจะมีตู้บริจาคให้เราร่วมบริจาคสมทบทุนตามกำลังศรัทธา
- ด้วยความศรัทธาและเพื่อนำไปแจกจ่ายให้ผู้คนรอบข้างผมหยิบหนังสือทุกเล่มอย่างละประมาณ 1-2 เล่ม พร้อมกับซีดีชุดรวม 1 ชุด คำนวณต้นทุนอย่างรวดเร็ว จึงร่วมทำบุญบริจาคสมทบทุนจัดพิมพ์หนังสือท่านไปจำนวนหนึ่ง
- พอกลับมาถึงบ้านที่จังหวัดมหาสารคาม ผมต้องเดินทางต่อเพื่อไปร่วมโครงการฝึกปฏิบัติจิตตปัญญาศึกษาที่เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลา 2 วัน จึงทำการสุ่มหยิบหนังสือธรรมะของหลวงปู่ไปอ่านจำนวนหนึ่ง ในเบื้องต้นตัวผมเองพบว่า แต่ละเล่มเหมาะกับผู้ปฏิบัติธรรมแตกต่างกันไป จึงขอหยิบเล่มที่ผมประทับใจที่สุดที่ได้อ่านในวันหยุดวันแม่แห่งชาติปีนี้ คือ เล่มที่ชื่อว่า "กุญแจภาวนา" จึงขอนำเนื้อหาบางส่วนมาเผยแผ่ดังต่อไปนี้ครับ
...เมื่อศีลสมบูรณ์ขึ้นไป สมาธิก็กล้าขึ้นไป
เมื่อสมาธิกล้าขึ้นไป ปัญญาก็กล้าขึ้นไป
สามอย่างนี้เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน
สมกับพระศาสดาตรัสว่า
มรรคมันเป็นหนทาง
เมื่อสามอย่างนี้กล้าขึ้นมาเป็นมรรค
ศีลก็ยิ่ง สมาธิก็ยิ่ง ปัญญาก็ยิ่ง
มรรคนี้แหละจะฆ่ากิเลส
มีโลภเกิดขึ้น โกรธเกิดขึ้น หลงเกิดขึ้น
มีมรรคเท่านั้นที่จะเป็นผู้ฆ่าได้
...ถ้ามรรคอันนี้ไม่กล้า กิเลสก็ครอบได้
ถ้ามรรคกล้า มรรคก็ฆ่ากิเลส
ถ้ากิเลสกล้า มรรคอ่อน กิเลสก็ฆ่ามรรค...
แท้จริงมันเป็นมรรคกับกิเลสเท่านั้นเองที่เถียงกันอยู่ในใจของเรา
มรรคมันมาคลุมเราให้พิจารณากล้าขึ้น
เมื่อเราพิจารณาได้ มันก็แพ้เรา
เมื่อมันแข็งมาอีก ถ้าเราอ่อนเราก็หายไป
คือมรรคหายไปกิเลสเกิดขึ้นแทน
ย่อมต่อสู้กันอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะมีฝ่ายชนะจึงจะจบเรื่องได้
ถ้าพยายามตรงมรรค ก็ฆ่ากิเลสอยู่เรื่อยไป
ผลที่สุด ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็อยู่ในใจอย่างนี้
นั่นแหละคือ เราได้ปฏิบัติอริยสัจ...