ความทรงจำดีๆในวัยเยาว์


ความทรงจำดีๆในวัยเยาว์

ตามย่า..ไปวัด..ความทรงจำดีๆในวัยเยาว์

โดย : จ่าเอกหญิงวัชรี โชติรัตน์

วันสงกรานต์ที่ผ่านมา เราชาวพุทธทุกคน พร้อมใจกันไปทำบุญ ตักบาตร รดน้ำดำหัว ขอพรผู้ใหญ่ ขนทรายเข้าวัด สรงน้ำพระ สนุกสนานด้วยการเล่นสาดน้ำสงกรานต์กันแล้ว สิ่งที่เราชาวพุทธทุกคนไม่เคยลืม คือการทำบุญอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับบุพการีผู้ล่วงลับไปแล้วที่เราเรียกว่าประเพณี “บังสุกุล” การมาบังสุกุลให้ย่าในวันนี้ ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าจะคิดถึงคุณความดีของย่าแค่ในวันนี้ หากแต่เป็นทุกวัน และรู้สึกซาบซึ้งและขอบพระคุณย่าเป็นอย่างมาก เพราะในส่วนหนึ่งของความเชื่อ ความศรัทธา การดำเนินชีวิตด้วยการทำดี คิดดี มีศีลธรรม ถูกถ่ายทอดมาจากย่าโดยตรง เมื่อถึงวันพระที่เป็นวันหยุดเรียน ย่าจะเอ่ยปากชวนหลานๆไปวัด ผลปรากฏว่าข้าพเจ้าเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวในหมู่ลูกพี่ลูกน้องกัน นอกนั้นเป็นเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายไม่ชอบไปวัดเพราะวิ่งเล่นกันในหมู่บ้านสนุกกว่าเป็นไหนๆ ข้าพเจ้าจึงเป็นตัวเลือกเดียวที่ดีที่สุด ที่จะไปวัดเป็นเพื่อนย่า ย่าจะแต่งตัวไปวัดด้วยโจงกระเบน (ซึ่งย่าใส่ประจำอยู่แล้วแต่เมื่อไปวัดย่าจะเอาโจงกระเบนใหม่ๆที่เก็บไว้มานุ่งไปวัดเสมอ) ใส่เสื้อผ่าหน้า คอกลม แขนยาวมาถึงศอก สีขาวตัวเก่ง ส่วนข้าพเจ้าย่าอนุโลมให้ใส่กระโปรงไปวัดได้ ไม่บังคับให้ใส่ผ้าถุง เพราะเห็นชายพกของข้าพเจ้าที่พันไว้ที่เอวแล้วย่าก็ถอดใจ ย่าพยายามหัดให้ข้าพเจ้านุ่งผ้าถุงอยู่กับบ้าน ข้าพเจ้าไม่เคยขัด แต่นุ่งไม่เคยถูกใจย่าเลย เมื่อมันจะหลุดข้าพเจ้าก็ขมวด ขมวดไปเรื่อยๆ จนผ้าถุงเต่อมาอยู่แค่เข่า จึงนุ่งใหม่ เข็มขัดก็ไม่ชอบคาด ชอบขมวดเอา ส่วนเสื้อย่าให้ข้าพเจ้าใส่ ตามความเหมาะสม ส่วนใหญ่แม่จะเตรียมไว้ให้ใส่ไปกับย่า เสร็จสรรพย่าจะคอนหาบไป โดยปลายไม้คานข้างหนึ่งจะเป็นเถาปิ่นโต ปลายอีกข้าง จะเป็นตะกร้าไม้ไผ่สาน ตะกร้านี้ย่าสานเอง ใส่ขันข้าว ขวดน้ำ กรวยดอกไม้ธูปเทียน เป็นอันว่าออกเดินทางไปวัดได้การเดินทางไปวัดนั้น ค่อนข้างลำบาก ด้วยว่าหมู่บ้านที่ข้าพเจ้าอยู่เป็นหมู่บ้านกลางทุ่งนา ถนนหนทางเป็นดินที่ได้จากการขุดคลอง เอาดินมาถมเป็นถนน ไปสู่ถนนใหญ่อีกทีหนึ่ง หน้าฤดูน้ำหลาก น้ำจะท่วมเข้ามาในหมู่บ้าน เราจึงได้ใช้เรือเป็นพาหนะ หน้านี้ข้าพเจ้าจะไปวัดอย่างสนุกเพราะได้พายเรือด้วย แต่ถ้าหน้าแล้งก็เดินไป ทางเดินระหว่างวัดกับบ้านนั้น ระหว่างทางจะมีพันธุ์ไม้ต่างๆที่ข้าพเจ้า จะได้เก็บกินระหว่างทางกลับจากวัดด้วย โดยขาไปก็จะเล็งไว้ก่อนว่ามันมีต้นอะไรออกดอกออกผลให้ได้ลิ้มลองกันบ้าง ข้าพเจ้าจำได้ดีคือ ลูกหว้าของนายายห่อ พุทราไข่เต่าของนาตาเหี่ยว มะขามเทศมันที่มีอยู่ทั่วไป มะม่วงป่าที่ต้นสูงลิ่ว มะเดื่อออกเต็มต้น สีสวยสด เป็นอาหารของแมลงหวี่ แต่ข้าพเจ้าหาเหลียวแลไม่ เพราะกินไม่เป็น ในหน้าน้ำก็จะเป็นไข่เน่าที่นาตาเล็กย่าชอบพายเรือแวะไปใต้ต้นให้ข้าพเจ้าเลือกเก็บแต่ลูกที่หล่นลงไปในน้ำเท่านั้น ส่วนต้นไม้ที่ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมเลย คือต้นงิ้ว 2 ต้น ที่ตั้งต้นตระหง่านอยู่ข้างทางที่เดินไปวัดนั้น ต้นช่างใหญ่โต และมีหนามที่แหลมคมมากๆ หนามใหญ่มากเลยในความคิดของข้าพเจ้าในตอนนั้น ย่าบอกว่ากินไม่ได้แต่ใช้ปีนได้ ใครจะเป็นคนปีนรู้ไหมลูก ข้าพเจ้าก็จะบอกทุกครั้งว่าคนไม่ดีจะเป็นคนที่ได้ปีน เป็นการลงโทษ คนไม่ดีตายไปต้องตกนรก ลงกระทะทองแดง และต้องปีนต้นงิ้วด้วย ถ้าปีนไม่ไหวจะมียมฑูตคอยใช้หอกทิ่มแทงอยู่โคนต้น เมื่อไปถึงวัด ย่าจะหาที่เหมาะให้ข้าพเจ้านั่งเสมอ คือที่โคนเสาศาลา เอาไว้ยามข้าพเจ้าเบลอๆๆแล้วเผลอหลับไปตามประสา แต่ย่าจะมีวิธีที่แยบยลที่จะให้ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาฟังเทศน์สมอโดยจะปลุกและบอกว่าให้เอาปัจจัยไปติดกันเทศน์ ย่าบอกว่าคนดีต้องตื่นมาติดกันเทศน์พระนะถึงจะได้ขึ้นสวรรค์ ใครๆก็อยากขึ้นสวรรค์ทั้งนั้นข้าพเจ้าจึงรับอาสาด้วยความเต็มใจ แม้วันไหนไม่ได้หลับก็รับอาสาไป งานที่ย่าบอกทำแล้วได้ขึ้นสวรรค์เมื่อไปวัดมีตั้งหลายอย่าง เช่น การเอาน้ำที่เขากรวดแล้วไปเทโคนต้นไม้ใหญ่ งานล้างชาม ก่อนกลับบ้านหรือไม่ย่าก็ใจดีปล่อยให้มาวิ่งเล่นกับเด็กอื่นๆที่ลานวัดได้ ข้าพเจ้าจะละล้าละลังด้วยกลัวว่าวันนี้ไม่ได้ช่วยงานวัดแล้วเดี๋ยวจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ทำเหมือนจำใจไป แต่พอได้เล่นกับเพื่อนแล้วความกลัวไม่ได้ขึ้นสวรรค์สำหรับวันพระนั้นก็หมดไป เหลือแต่ความสนุกสนานตามวัย และนึกถึงของกินที่เล็งไว้ตอนมาวัด การไปวัดในตอนนั้นของข้าพเจ้าไม่เห็นต้องใช้เงินในการซื้อขนมนมเนยกินเหมือนเด็กสมัยนี้ไปวัดเลย พระฉันท์แล้ว เราก็เป็นลูกศิษย์วัดซะเลย อิ่มท้องไป ภายในวัดนั้นก็เหมือนแหล่งเรียนรู้อย่างดี จะมีภาพพุทธประวัติให้ได้ศึกษา ข้าพเจ้าชอบดูแต่ภาพ เนื้อหาอ่านแต่จำได้ไม่แม่น คนเขียนภาพที่ยังจำลายเซ็นต์ได้ไม่ลืมเลย คือท่านเหม เวชกร ตอนนี้ท่านได้ลาโลกไปแล้วคงฝากไว้แต่ผลงาน ต้นไม้ในวัดก็เยอะ ทั้งต้นลูกจันทน์ ลูกอินทร์ ต้นยาง ลั่นทม พิกุล ไม้ดอกทั้ง 2 นี้ ถ้าได้ลงไปเล่นแล้วไม่มีใครเล่นด้วย ก็จะไปที่ต้นไม้พวกนี้ แอบดึงไม้กวาดทางมะพร้าว เอามาร้อยดอกลั่นทมบ้าง ดอกพิกุลบ้าง แล้วก็เสียบไว้แถวๆโคนต้นนั่นแหละเพราะย่าไม่ให้เอาของวัดกลับบ้าน และยิ่งเป็นดอกไม้ทั้ง 2 นี้ด้วยแล้วย่าถือมาก ย่าบอกว่าเอาลั่นทมไปบ้านชีวิตจะมีแต่ความทุกข์ระทม ส่วนพิกุลเป็นดอกไม้ผีสิง กลัวไหม ถ้ากลัวห้ามเอากลับบ้านเด็ดขาด แต่ย่าจะรู้ไหมหนอว่าดอกลั่นทมที่ย่ากลัวนั้น บัดนี้เป็นไม้มีราคาแพง ส่วนพิกุลก็เป็นส่วนผสมของยาสมุนไพร มีราคาอีกเช่นกัน ย่าไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ย่าใช้ชีวิตได้อย่างชาญฉลาด ย่าถ่ายทอดเรื่องราวมากมายให้ข้าพเจ้าฟังระหว่างเดินทางไปวัด และกลับบ้าน โดยจะเอาเรื่องที่ได้จากวัดมาคุยกับข้าพเจ้าอีกทีหนึ่ง บางทีก็ให้ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังบ้าง เป็นการลองภูมิว่า “วันนี้พระท่านเทศน์อะไรบ้าง ลองเล่าให้ย่าฟังหน่อยซิ” ข้าพเจ้าก็จะเล่าเป็นคุ้งเป็นแคว จนบางทีอย่าบอกว่าหยุดได้แล้ว เล่าหลายเที่ยวเหลือเกิน เป็นงั้นไป เมื่อเดินผ่านต้นงิ้วย่าก็จะถามเสมอว่า “วันนี้ทำอะไรผิดบ้าง บอกย่ามาหนึ่งอย่างซิ อย่าโกหกนา เดินผ่านต้นงิ้วแล้วนะ” ข้าพเจ้าจะบอกทุกครั้งว่า ไม่มี เพราะวันนี้เป็นวันพระ งดจากการทำบาปจ้า อย่าก็จะรู้สึกพอใจ เมื่อกลับถึงบ้านก็จะเกณฑ์พลพรรคที่เป็นพี่น้องผู้ชาย มาเก็บ มาสอยของกินตามที่เล็งไว้ วิธีการก็จะช่วยกันตะโกนว่า “ยายห่อขอลูกหว้ากินหน่อยนะ” คือตะโกนเป็นพิธี แต่จริงๆแล้ว ยายห่อบ้านแกอยู่ไกลจากนาตั้งไกล จึงไม่มีคำตอบจากยายห่อ พวกเรา จึงพร้อมใจกันตะโกนต่อว่า ....เอ้อ...เป็นอันปีนต้นลูกหว้าได้ ถือว่ายายห่ออนุญาตแล้ว เมื่อโตขึ้น...เพลงพุ่มพวงที่ร้องว่า...หากมีเวลามาเยี่ยมบ้านนาบ้างเน้อพี่เน้อ...และร้องรับกันว่า...เอ้อ..จึงถูกใจยิ่งนัก เมื่อมีความจำเป็นที่ต้องย้ายถิ่นฐานมาอยู่อีกตำบลหนึ่งซึ่งเป็นบ้านแม่ ย่าไม่ได้ตามมาอยู่ด้วย ย่าคงอยู่ที่บ้านทุ่งแห่งนั้น ใช้ชีวิตอยู่กับหลานๆได้สักระยะหนึ่ง จวบจนข้าพเจ้ามีงานทำ มีครอบครัว ย่าล้มป่วยลง เดินไม่ได้ พ่อไปรับย่ามาอยู่ด้วย ให้แม่และข้าพเจ้าได้ดูแลตอบแทนพระคุณ ซึ่งทั้งแม่และข้าพเจ้าก็ดูแลเรื่อยมา ยามอยู่กันตามลำพังย่าจะพูดกับข้าพเจ้าเสมอว่า “หนูย่าไปวัดเองไม่ได้แล้วทีนี้เมื่อย่าสิ้นลม หนูช่วยพาย่าไปวัดด้วยนะ และไม่ต้องพาย่ากลับบ้าน ย่าอยากอยู่วัด” ต่อมาไม่นานย่าก็ได้จากไปในอ้อมกอดของข้าพเจ้า เมื่อเวลา6โมงเช้า ของวันที่ 24 กรกฎาคม 25544 ย่าเหมือนรอให้ข้าพเจ้าเข้าไปหา ย่าพยายามลืมตามองดูข้าพเจ้าปากขมุบขมิบเหมือนจะพูดอะไร แต่ข้าพเจ้าก็ไม่มีเวลาที่จะฟังแล้ว เพราะตะโกนเรียกคนโน้นคนนี้มาดูย่าระหว่างที่อลหม่าน ข้าพเจ้าต้องทนเห็นความตายที่พรากเอาย่าไปจากข้าพเจ้าอย่างทุกข์ทรมาน ป้ารีบเอาดอกไม้ที่พอจะหาได้พร้อมดอกไม้ธูปเทียนใส่มือย่าไว้ ปากก็พร่ำบอกให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จนย่าหมดลมลง จากวันนั้นถึงวันนี้ ย่างเข้าปีที่ 6 แล้วที่ย่าจากไปด้วยวัย 95 ปี ย่ากับการพาข้าพเจ้าไปวัด จึงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าจดจำและยิ้มกับตัวเองทุกครั้งที่นึกถึง ขอย่าจงหลับฝันดีอยู่บนสรวงสรรค์ด้วยผลบุญที่ย่าทำมาด้วยความสุขตลอดกาลนาน

28 /05/50

หมายเลขบันทึก: 261938เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2009 19:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

เป็นความทรงจำที่ดีค่ะ เรื่องนี้ได้บุญกุศลที่ดีด้วยค่ะ

  • อยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้นนะคะ
  • คุณยาย น่ารักมากๆเลยค่ะ 

 

 

ใช่แล้วนั่งทำงานไปยังมีรูปย่า..ตาและยาย บานเบ้อเร่อ 3 บาน เรียงกันเป็นแถวเลย....ให้กำลังใจอิๆๆๆๆ

 

มารับรู้ความทรงจำดี ๆ จ้ะน้องอ้อย  มีความสุขเยอะๆ นะ

 

 

ดีใจจังค่ะที่พี่กุ้งมาเยี่ยม...คิดว่าจะกลัวบรรพบุรุษครูอ้อยเสียอีกนะ...

  • สวัสดีค่ะคุณครู
  • ร้อนและกระหายไหมค่ะ
  •  แด่ครูอ้อยเล็กค่ะ

   

ตามมาขอบคุณค่ะที่แวะมาเยี่ยมบล็อกค่ะ

  • มาเยี่ยมคุณอ้อยค่ะ
  • ชื่นชมค่ะ
  • มีความสุขค่ะ

ขอบคุณค่ะคุณครูพี่แต๋ม..ด้วยจิตคาระวะค่ะ.....

 

สวัสดีค่ะครูอ้อยเล็ก

วันหยุดยาวครูได้หยุดกันบ้างไหมคะ....

ขอบคุณค่ะพี่แดงลีลาวดีพันธุ์ใหม่โตเร็วออกดอกดกแต่ก็ยังประทับใจรูปลักษณ์เดิมอยู่มามายจ้า....

ขอบคุณน้องอ้อยเล้กที่เข้าไปเยี่ยมพี่สุในบล็อคออกพรรษาแล้วนะ  คะออกพรรษา ไม่ใช่เข้าพรรษานะคะ ตอนนี้ก็คงจะมีการชมบั้งไฟพญานาค  ไหลเรือไฟ  หรือแข็งเรือพายบึ๊ดจั้มบึ๊ดกันคะ  บางแห่งก็มีการลอยกระทงแล้วคะ  ตอนนี้จะได้ยินเสียงตะโพกดังสนั่นกัน  น้องอ้อยเล็ไม่มีเรื่องเขียนใหม่หรือคะ  พี่สุเข้ามาเยี่ยมถือโอกาสอ่านบทเก่าๆคะไหหละ  อย่าลืมไปโหวตให้น้องก้ามกุ้งนะคะ หมดหมดเขตวันที่ 8 คะ เร็วๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท