“ยุทธการสร้างลูกให้เป็นนักสู้ (ไวรัส) รุ่นใหม่”
ไม่ว่าจะฟัง จะอ่านข่าวสารผ่านสื่อใด ๆ ไวรัส 2009 ชั่งร้ายกาจ ชั่งใจร้ายต่อเราเหลือเกิน...เพราะส่วนใหญ่ไวรัสตัวกลม ๆ ตัวเล็ก ๆ
จะเลือกบุกทำร้ายกล่องดวงใจของแม่...ของพ่อ...นั่นคือ...ลูกน้อยของเรา พยาบาลลองตั้งวงนั่งพูดนั่งคุยกับแม่ ๆ พ่อ ๆ หลาย ๆ คน เรามีความ
เห็นตรงกันว่าเราต้องฝึกฝนลูกของเราให้รู้จักป้องกันตนเองตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ จะได้มีความรู้ มีความตระหนัก มีความรับผิดชอบต่อตัวเองต่อ
คนอื่น ๆ จนกว้างไกลถึงความรับผิดชอบต่อสังคมมนุษยชาติ...ที่สำคัญเมื่อเขาเติบใหญ่เท่าเรา...เขาจะได้ไม่ต้องมาเผชิญชะตากรรมแบบเรา...
นี่เป็นที่มาของยุทธการสร้างลูกให้เป็นนักสู้ (ไวรัส) รุ่นใหม่ เป็นเรื่องราวที่พยาบาลขออนุญาตแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยภาระของคุณแม่
(พยาบาล) และลูกสาว ป.3 โรงเรียนอนุบาลสาธิตกับทุกท่านนะค่ะ
ยุทธการบทที่ 1..... “แม่ ๆๆ 2009 ติดได้ไงแล้วนะ”
“แม่ ๆๆ 2009 ติดได้ไงแล้วนะ”
...เจ้าตัวเล็กถามด้วยความสงสัย พยาบาลนึกในใจเมื่อวานเพิ่งไปเป็นวิทยากรให้แก่เด็ก ๆ อนุบาลสาธิต...วันนี้เด็กอนุบาลสาธิต
ดันมาถามว่า...2009 ติดได้ไงแล้วนะ ? ขนาดพูดย้ำแล้วย้ำอีกแถมแสดงละครให้ดูอีกต่างหาก “ก็ติดจากเพื่อนไอ จาม ใส่เราแล้วก็ติดจาก...”
ไม่ทันที่พยาบาลจะบอกต่ออีกช่องทางก็ถูกนักเรียนอนุบาลสาธิตสวนทันที
“นั่นแหละแม่...เมื่อวานเพื่อนจาม ฮัดเช่ย!! ...พวกเราอยู่กัน 3 – 4 คน วิ่งหนีวงแตกเลย...”
เห็นภาพ ก็เลยค่อยอธิบายว่าสิ่งที่น้องทำถูกต้องค่ะเพราะเราป้องกันตัวเราแต่ถ้าเพื่อนจะไอจะจามรู้จักมีผ้าปิดปากปิดจมูก
ก็ไม่ต้องวิ่งหนีกันจนวงแตกนะค่ะ....เห็นท่าจะต้องอธิบายกันยาว...ยกหน้าที่ให้คุณครูคนเก่งที่โรงเรียนดีกว่า... “ครูแอ๊ะค่ะ...สิ่งที่พยาบาล
มาพูดคุยกับเด็ก ๆ เรื่อง 2009 เมื่อวานเด็ก ๆ จำได้บ้าง ลืมไปบ้าง ฝากคุณครูช่วยย้ำช่วยซ้ำด้วยเถอะนะค่ะ
ยุทธการบทที่ 2..... “แม่ ๆ....รู้ไหม ? เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ นักเรียนเขาไม่จับราวบันไดแล้วนะ”
“แม่ ๆ....รู้ไหม ? เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ นักเรียนเขาไม่จับราวบันไดแล้วนะ”
...เสียงเล่าเรื่องราวบรรยากาศในโรงเรียนของการใช้บันไดขึ้นลงชั้นสองของตึกจากปากลูกสาวที่ชั่งเจรจา “แล้วเด็ก ๆ
ทำยังไงค่ะลูก?” พยาบาลลองถามด้วยความสนใจ
“เด็ก ๆ เดินเอามือกอดอกวิ่งลงมาข้างล่าง...น้องลืม...เอามือไปจับราวบันได เพื่อนตะโกนมาเลย...เฮ้ยแก้วไม่กลัวติด 2009 หรือ ?”
(เออ! ลืม) น้องรีบหดมือกลับ เอามือกอดหน้าอกแล้วรีบวิ่งลงบันไดตามเพื่อน ๆ ไปเข้าแถว”
พยาบาลไม่รู้จะดีใจ....ดีหรือจะตกใจ....ดี เด็ก ๆ จะรอดจาก 2009 เพราะไม่จับราวบันไดสิ่งของสาธารณะที่อาจมีเชื้อติดอยู่หรือเด็ก ๆ
จะตกบันไดเพราะความไม่ระมัดระวัง 2009 ก็ไม่อาจเดาได้...
“ราวบันไดจริง ๆ เขามีไว้ให้จับเพื่อให้เดินขึ้น – ลง อย่างปลอดภัยนะลูก แต่ด้วยเราอาจจะติดเชื้อโรคจากบันไดได้เราก็ต้องไม่จับ
แต่ถ้าจำเป็นต้องจับหรือบังเอิญเผลอไปจับก็ต้องไปล้างมือให้สะอาด ส่วนถ้าจะเดินขึ้นลงโดยไม่จับ เช่น กอดอกเดินขึ้นเดินลงก็ต้องเดิน
อย่างระมัดระวังให้มาก ขืนกอดอกวิ่งขึ้นวิ่งลงตรงบันได แม่ว่าน้องจะตกบันไดเจ็บก่อนเป็นหวัด 2009นะ”
พยาบาลไม่แน่ใจว่าเด็กอนุบาลสาธิตจะเลือกทำข้อไหน...จึงต้องรายงานครูแอ๊ะเพื่อโปรดพิจารณาอีกเรื่อง
วันนี้รับทราบว่าโรงเรียนเน้นย้ำให้คุณครูได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้ในทุก ๆ วิชาเรียน ขอบคุณค่ะคุณครู
ยุทธการบทที่ 3..... “น้อง....ทำไมชอบเอานิ้วแคะจมูก ??”
“น้อง....ทำไมชอบเอานิ้วแคะจมูก ??” เสียงดุ ๆ ที่ทำให้ลูกตัวเล็กชะงัก หันมาบอกด้วยความรู้สึกผิดและตอบว่า
“ก็...น้องคันในรูจมูกนี่นา!!”
....เออนะเด็กมันคันในรูจมูกจะทำยังไง “น้องฟังแม่นะ เขาบอกว่าเชื้อ 2009 จะเข้าไปในปอดเราเร็วมาก โดยเฉพาะถ้าเราเอานิ้วที่มี
เชื้อโรค 2009 แหย่เข้าไปในรูจมูก ถ้าน้องคันรูจมูกและจะแคะจมูกน้องจะต้องทำไงค่ะ??” เด็ก ป.3 คิดนิดนึงแล้วหันไปกดเจลล้างมือที่ตั้งอยู่
ในรถ ลูบไล้ไปมาในฝ่ามือ หลังมือ เลยมาที่แขนและแทนที่จะตอบกลับถามพยาบาลว่า
“แม่...มือน้องสะอาดแล้วแคะรูจมูกได้แล้วยัง?”
พยาบาลอดที่จะขำกับท่าทางเลียนแบบของลูก คล้าย ๆ ตอนเราทำความสะอาดมือด้วยเจลไม่ได้ แต่แม่ (พยาบาล)ก็ขอไว้เชิงตอบไปว่า
“ถ้าคิดว่ามือสะอาดแล้วก็แคะได้เลย!” เจ้าตัวแสบหันมองมือป้อม ๆ เล็ก ๆ อีกครั้ง
“อีกสักทีดีกว่า...”
ว่าแล้วก็กดเจลแอลกอฮอล์ล้างมืออีกรอบ ทีนี้ไม่ทันได้ว่ากระไรต่อ เห็นนั่งแคะรูจมูกสบายใจ “น้องแม่ว่า...เราลองหาวิธีใหม่แก้คัน
ในรูจมูกดีไหม...แทนการใช้นิ้วแหย่รูจมูกเผื่อเชื้อโรคติดในขี้เล็บ...” เงียบ....
“เออ...จริงแม่...เล็บดำเชียว”
นักสู้ของพยาบาลจะรอดไหมเนี่ย
ยุทธการบทที่ 4..... “น้อง....พกผ้าขนหนูกับเจลแล้วก็สบู่ไว้ใช้ที่โรงเรียนนะลูก”
“น้อง....พกผ้าขนหนูกับเจลแล้วก็สบู่ไว้ใช้ที่โรงเรียนนะลูก ถ้าน้องมีน้ำล้างน้องใช้สบู่ล้างมือนะ ถ้าหาน้ำไม่ได้น้องค่อยใช้เจลนะ
เพราะเจลมันแพง ถ้าน้องจะไอ จะจาม ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกด้วยนะจะได้ไม่โดนเพื่อน แล้วที่สำคัญถ้าใครจะไอ จะจาม น้องก็ต้องเอาผ้าขนหนู
ปิดปาก ปิดจมูก ด้วยล่ะเดี๋ยวน้องจะติดหวัดเพื่อนได้...” พยาบาลพยายามคุยกับลูกทุกวัน ซักซ้อมความเข้าใจ....ได้ผล....
“แม่...เดี๋ยวนี้เวลาหมดคาบเรียน 1 คาบ ครูจะไล่ให้พวกเราไปล้างมือ น้องจะถือถุงสบู่ไปที่ห้องน้ำแล้วล้างมือ น้องแบ่งสบู่ให้เพื่อนด้วยนะแม่”
แล้วเจลล่ะน้องใช้ตอนไหน......
“ตอนเพื่อนขอลองใช้จ๊ะแม่....”
งง....พยาบาลเป็นงง....คงต้องซ้อมยุทธการบทนี้ใหม่ “น้องถ้าเพื่อนต้องการใช้เจล บอกเพื่อน ๆ นะที่ห้องพยาบาลแม่แบ่งขาย...ขวดละ 30 บาท...
ลองไปถามเพื่อน ๆ ดู” เห็นเด็กอนุบาลสาธิตยืนคิดอยู่นาน....แล้วถามกลับ
“แม่ 10 บาทได้ไหม??”
ลูกเรามันจะช่วยเพื่อนหรือมันจะค้ากำไรนะ “น้องบอกเพื่อน ๆ นะว่าเจลที่น้องใช้ราคาจะถูกกว่าบางยี่ห้ออยู่ครึ่งหนึ่ง แต่คุณภาพรับรองเลย...
ที่สำคัญ...แม่ไม่ได้ขายเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง...เงินที่ซื้อมาและเงินที่ขายได้เอาเข้า...มหาวิทยาลัยหมดเลย...” (จะเข้าใจพยาบาล จะเข้าใจแม่ไหมนะ)
“แม่...น้องจะลองไปถามเพื่อน ๆ ดูนะ”
เป็นเสียงตอบสั้น ๆ จากนักสู้ตัวเล็กของพยาบาล
ยุทธการบทที่ 5..... “แม่....เพื่อน ๆ สั่งเจล 13 ขวด....”
“แม่....เพื่อน ๆ สั่งเจล 13 ขวด พรุ่งนี้แม่เตรียมให้น้องด้วยนะ”
เสียงสั่ง Order ทางโทรศัพท์สาธารณะของโรงเรียน “จ๊ะ...แม่จะเตรียมให้” กลับมาบ้านพยาบาลนำเจลจำนวน 13 ขวด และให้ลูกคิดราคารวม
คำตอบคือ 390 บาท ด้วยความกังวลว่าลูกจะเก็บเงินไม่ครบ ทำเงินหาย มั่วนิ่ม “น้อง...น้องเอาไปให้ครูนี (คุณครูประจำชั้น) ช่วยขายช่วยเก็บเงินให้ก็ได้นะ
....ตอนเย็นพรุ่งนี้แม่ค่อยไปเอาเงินที่ครูนีเอง” นี่คือทางออกที่ดีที่สุดของพยาบาล...
“แม่...ไว้ใจกันหน่อย...น้องจัดการเอง...”
งานนี้คงต้องยอมขาดทุน...จะฝึกลูกให้เป็นนักสู้ไวรัส...คงต้องยอมขาดทุน...390 บาท เตรียมจ่ายได้เลย “จ๊ะลูก” เป็นคำตอบที่พยาบาลเดาได้ว่า
ลูกเข้าใจว่าเราไว้วางใจให้เขาได้ไปปฏิบัติภารกิจใหญ่ด้วยตนเอง ตอนเย็นของอีกวัน ลูกสาวนักสู้ไวรัสของพยาบาลกลับมาเล่าอย่างภาคภูมิใจ
“แม่นี่ตังค์ 390 บาท ครบทุกบาททุกสตางค์”
จริงดังคำกล่าว เงิน 390 บาท อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของเขาอย่างดี “แล้วเงินของลูกที่แม่ให้ไปโรงเรียนล่ะ?” เสียงตอบพร้อมมือน้อย ๆ ล้วงออกจากกระเป๋า
“น้องแยกแบ่งไม่ให้ปนกันอยู่ในแก้วน้ำนี่” (อ้าว! คงต้องสอนกันอีกบท...)
พยาบาลอดชื่นชมเขาไม่ได้ “เก่งจัง...น้องจัดการยังไงจ๊ะ ลองเล่าให้แม่ฟังหน่อยสิ”
“ไปถึงเพื่อน ๆ รุมกันใหญ่....แก้ว ๆๆ ของเราด้วย...ของเราด้วย...ล้อมหน้าล้อมหลังน้องเต็มไปหมด..น้องบอก...ทุกคนเงียบเข้าแถว...ใครจะเอา
จ่ายตังค์มา...จดชื่อ”
เขาเล่าไปอย่างสนุกสนาน อย่างภาคภูมิใจ “เออ! น้องทำไมเพื่อนสั่งเยอะจังเลยล่ะ” นักสู้ไวรัสของพยาบาลหันมามองหน้าและจัดแจงบรรยายว่า
“น้องบอกเพื่อน ๆ ว่าช่วยซื้อเจลไปทำความสะอาดมือตัวเองหน่อยนะ แม่เราอยากให้ทุกคนทำความสะอาดมือ จะได้ไม่ติด 2009 ช่วยซื้อหน่อยนะ
สงสารแม่เรานะ แม่เราเหนื่อย เราก็ไม่ได้อะไร แม่ก็ไม่ได้อะไร แม่เราเอาเงินให้กองงานหมดเลย...”
น้องจ๋าผิดหน่วยงานแล้ว “เอาเข้าหน่วยพยาบาลจ๊ะ...ได้ดังใจจริง ๆ ลูกแม่” หอมหนึ่งฟอดใหญ่กับการโอบกอดน่าจะเป็นรางวัลสำหรับ
นักสู้ผู้เสียสละตัวน้อยของแม่นะ
ยุทธการบทที่ 6..... ผู้คัดกรองรุ่นเล็ก
“น้องจ๊ะ...ถ้าเห็นเพื่อน ๆ เป็นไข้ เป็นหวัด ไอ จาม น้องต้องบอกคุณครูนะค่ะ ให้คุณครูมาตรวจดู คุณครูได้โทรบอกคุณแม่คุณพ่อเพื่อน
มารับกลับบ้าน” ตอนค่ำของทุกวันพยาบาลกับคุณยายจะได้ฟังเรื่องราวการคัดกรองของคุณครูอนุบาลสาธิต พร้อมท่าทางเลียนแบบคุณครูโดยเฉพาะ
คุณครูน้อย
“แม่วันนี้ครูน้อยมาตรวจเด็ก ๆ พบเด็กเป็นหวัด เป็นตาแดง ครูน้อยพาลงมาข้างล่าง แล้วโทรบอกพ่อแม่เด็ก ๆ ให้มารับลูกกลับ...แล้วครูน้อย
นะจะบอกเด็ก ๆ เลย” (ทำท่าทางชี้นิ้วไปข้างหน้าเสมอเหมือนว่ามีลูกศิษย์ยืนอยู่เป็นแถว แถมเลียนเสียงแบบคุณครูน้อยอีก)... “นี่ พวกเธอ วันหลัง
บอกพ่อกับแม่เธอด้วยนะว่าถ้าเป็นหวัด เป็นตาแดง ให้หยุดเรียน อยู่บ้านก่อน ไม่ต้องมาโรงเรียน เดี๋ยวเอาหวัดเอาตาแดงมาติดเพื่อนหมด...แบบนี้เลยแม่”
สิ้นเสียงนักสู้ไวรัส คุณยายสอนด้วยภาษาปักษ์ใต้ทันที “แก้ว...คอยแล...ครูน้อยจะบีบหมูกเอ้า...ไปทำท่าทำทางแบบครู” แต่ได้ผลจริง ๆ ทุกค่ำจะ
ได้รู้เรื่องการคัดกรองเด็ก ๆ ไม่สบายกลับบ้านระหว่างครูกับลูกศิษย์ประจำห้อง ที่สำคัญได้รู้การเปลี่ยนแปลงว่าช่วงนี้โรงเรียนมีเครื่องมือใหม่มาวัดไข้เด็ก ๆ
“แม่ ๆ ผอ.สั่งเครื่องมือใหม่มาวัดไข้ให้เด็กนักเรียน เห็นว่าสั่งมาจากอิตาลี เป็นแบบอัตโนมัติ วัดปุ๊บ บอกเลยไข้ไม่ไข้ ไม่ไข้เรียนต่อ
ถ้าไข้ส่งกลับบ้าน แต่ห้องลูกใช้เครื่องมืออัตโนมือ...(เล่าถึงตรงนี้แม่พยาบาลงง !! แต่ไม่อยากขัดจังหวะฟังต่อ) น้องเอามือแตะคอแตะหน้าผากเพื่อน
(พร้อมแสดงท่าทางใช้หลังมือแตะคอแตะหน้าผากแม่) ไม่ร้อน เข้าห้องเรียนได้...ไม่ร้อน เข้าห้องเรียนได้...ร้อน...รอพบครูก่อน...”
เป็นไงหล่ะอัตโนมือของนักสู้ไวรัสของพยาบาล “น้องแล้วเอามือแตะหัวแตะคอเพื่อนเสร็จน้องล้างมือไหม??”
“ล้างสิแม่ 2009 นะ” คำตอบที่ถูกสวนกลับทันทีโดยไม่ต้องรอ
เฮอ ! รอดไป ลืมถามนักสู้ไปว่า “เครื่องมืออัตโนมัติของ ผอ.กับอัตโนมือของหนู ของใครแน่กว่ากัน...5555
ยุทธการบทที่ 7..... “แม่....เพื่อนน้องเป็น 2009”
“แม่...เพื่อนน้องเป็น 2009 แม่หมวยบอกว่าหมวยป่วย...ลาเรียน...เพื่อน ๆ บอกว่าหมวยเป็น 2009 แม่...ถ้าน้องเป็น 2009 เชื้อโรคลงปอด
เหมือนที่ข่าวบอก ปอดน้องเละเปื่อยหมด ใครจะช่วยน้อง....น้องต้องตายแน่ ๆ เลย”
เสียงเล่าแบบเศร้า ๆ ปนตาแดง ๆ เหมือนมีน้ำตาระรื้น ๆ อยู่ในดวงตา พยาบาลอดสงสัยไม่ได้ นักสู้ไวรัสรุ่นใหม่ของพยาบาลจะมาไม้ไหน
เรื่องจริงเรื่องปลอมนะเนี่ย แต่เห็นท่าทางคงต้องเรียกกำลังใจก้อนโตให้แก่นักสู้ก่อนจะดีกว่า ก่อนที่จะไปกันใหญ่ “น้องว่า....แม่เก่งไหม ? ” น้ำเสียง
แม่ถามแบบเรียบ ๆ เบา ๆ
“แม่เก่ง...เพราะแม่ทำงานหลายอย่าง”
อ้าวคงหมายถึง หุงข้าว ล้างจาน ซักผ้า แน่เลย “ใช่จ๊ะ แม่ของน้องเก่งมากรู้ไหม” พยาบาลคงต้องขอโม้กับลูกหน่อยนะเพราะบรรยากาศมัน
จำเป็นจริง ๆ “น้องรู้ไหม...แม่นะต้องดูแลนักเรียนอนุบาลสาธิต 800 คน พี่สาธิต 800 คน (มองเห็นว่าตาของนักสู้ค่อยโตขึ้นแจ่มขึ้น) พี่นักศึกษา 8,000 คน
ป้า ๆ น้า ๆ ลุง ๆ ที่ทำงานอีกกว่า 1,000 คน”
“โอ้โหแม่...มากขนาดนั้นเลยหรือ”
“ใช่จ๊ะแม่ต้องดูแลคนเป็นหมื่นคน...แล้วกะลูกหมาของแม่คนเดียวนี่นะแม่จะดูแลไม่ได้” (พร้อมกับเอานิ้วจิ้มหน้าผากหยอกเอิ้นเขาเบา ๆ)
รอยยิ้มในดวงตาของลูกสาว เสียงหัวเราะที่ดังลั่นรถ ทำให้พยาบาลรู้ว่า...การสร้างความมั่นใจให้นักสู้ไวรัสตัวเล็กมันจำเป็นจริง ๆ
*หมายเหตุ ส่วนน้องหมวยลาป่วยด้วยไข้ชิคุนกุนยาค่ะ
*** ติดตามยุทธการบทที่ 8 ในฉบับต่อไป >>>ยุทธการบทที่ 8..... “แม่จ๋า....แย่แล้ว....”
***ติดตามงานการรณรงค์ 2009 ของหน่วยพยาบาล ม.อ.ปัตตานี ได้จาก www.pn.psu.ac.th/H1N1/
ไม่มีความเห็น