ได้ไปประชุมที่เชียงใหม่อีกครั้ง สัปดาห์ก่อนไปโต้ลมหนาวที่สะเมิง คราวนี้ประชุมที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ อากาศดีไม่หนาวมาก การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมปฏิบัติการพัฒนาฐานข้อมูลอนามัยแม่และเด็ก จัดโดยสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ผู้เข้าประชุมเป็นผู้รับผิดชอบฐานข้อมูลอนามัยแม่และเด็กจากทุกศูนย์อนามัยเขต และจากบางจังหวัด ที่รับผิดชอบการจัดเก็บฐานข้อมูลโรงพยาบาลสายใยรักแห่งครอบครัว รวมแล้วประมาณ 50 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิคส์ งานอนามัยแม่และเด็ก และระดมสมองเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพ
ประธานเปิดประชุมได้แก่ นายแพทย์โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย การเปิดพิธีเป็นไปอย่างเป็นกันเอง ท่านรองอธิบดี ได้ให้ความสำคัญกับฐานข้อมูลมาก ท่านบอกว่า ไม่มีข้อมูลก็เหมือนคนตาบอด เหมือนคนเดินอยู่ในความมืด ข้อมูลจะทำให้เกิดการพัฒนา หากพิจารณาตาม 6 Keys Function ที่ท่านอธิบดีได้ให้นโยบายไว้ ตัวข้อมูลจะเป็นทั้งในเรื่องของ Surveillance (การเฝ้าระวัง) , R&D (Research and Development : วิจัยและพัฒนา) และ M&E (Monitoring and Evaluation : การควบคุมกำกับและประเมินผล) นอกจากนี้การเก็บข้อมูลสิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ นิยามต้องชัดเจน
นพ.โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย
ท่านรองอธิบดีอยากให้มีการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของกรมอนามัย ซึ่งท่านมองว่าขณะนี้เหมือน หญิงวัยกลางคนผู้เลอศักดิ์ (ถึงตรงนี้ ผู้เข้าประชุมโดยเฉพาะจากกรมอนามัย ถูกใจมาก หัวเราะกันใหญ่…) ทำอย่างไรให้เปลี่ยนเป็น สาวมั่น โดยเปลี่ยนเป็นผู้ที่มีความมั่นใจเพราะมีข้อมูลที่จะตอบคำถามได้
ท่านรอง ฯ บอกว่า จะเป็นสาวมั่นได้ต้องมี 4I ดังนี้
Information ข้อมูล ข่าวสาร
Innovation นวตกรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานข้อมูลหรืออื่น ๆ
Inter ต้องดูคนอื่นด้วย
Immediate ความรวดเร็ว
นอกจากนี้ท่านยังได้เล่านิทานให้ฟังอีก 3 เรื่อง
เรื่องที่ 1 มีชายคนหนึ่งพร้อมลูกเล็ก ๆ อีก 2 คน ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลูกทั้งสองซนมาก เดี๋ยวก็วิ่งไปนู้นไปนี่ มีชายอีกคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ในใจก็คิดว่าทำไมพ่อไม่ดูแลเลย เด็กวิ่งไปวิ่งมา เด็กคนหนึ่งเอามือไปดึงหนังสือพิมพ์จากชายคนนั้น เขาก็เลยบอกให้พ่อห้ามปรามบ้าง ผู้พ่อบอกว่าไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน เพราะแม่ของเด็กทั้งสองเพิ่งตายไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านไปนี่เอง
(สรุปว่า การได้รับข้อมูลทำให้ คนเปลี่ยนทัศนคติได้)
เรื่องที่ 2 มีบริษัทแห่งหนึ่งต้องการไปเปิดตลาดขายรองเท้าที่อัฟริกา ได้ส่งชายสองคน ไปดูว่าจะไปเปิดตลาดได้หรือไม่ ชายคนที่หนึ่งไม่อยากไป ขณะที่ชายคนที่สองอยากไป เมื่อไปถึงแล้วทั้งสองคนก็สำรวจตลาด และส่งรายงานกลับมายังบริษัท
ชายคนที่ 1 เมื่อไปได้สามวัน ก็รายงานกลับมาว่าคนอัฟริกาไม่ใส่รองเท้า คงจะเปิดตลาดขายรองเท้าที่นี่ไม่ได้
ชายคนที่ 2 รายงานเมื่อไปได้เจ็ดวัน โดยรายงานว่า คนอัฟริกาไม่ใส่รองเท้า น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะขายรองเท้า และมีข้อมูลด้วยว่ารองเท้าแบบไหนบ้างที่ควรนำเข้ามาขาย
เรื่องที่ 3 อเมริกาส่งจรวดไปอวกาศ แต่มีปัญหาในเรื่องปากกาที่ไม่สามารถเขียนได้ มีการศึกษาวิจัยเพื่อทำปากกาที่ใช้ในยานอวกาศได้ ในที่สุดทำสำเร็จโดยใช้งบประมาณมากมาย ในขณะที่รัสเซียไม่ต้องเสียงบประมาณเลยเพราะใช้ดินสอแทน
เรื่องที่ 4 เรื่องนี้ไม่ใช่ของท่านรอง ฯ โสภณ เพราะท่านเล่าเพียง 3 เรื่อง แต่เป็นของเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ คุณฉลอง เรืองศรี จากศูนย์อนามัยที่ 11 นครศรีธรรมราช เล่าว่าเพิ่งดูทีวีรายการคดีเด็ด เรื่องเกิดในชุมชนขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐเอาเงินค่าตอบแทนไปให้ โดยที่ทุกคนต้องเซ็นชื่อรับ ปรากฎว่ามีคุณยายคนหนึ่งเขียนหนังสือไม่ได้ เจ้าหน้าที่บอกให้คอยครึ่งชั่วโมงจะไปเอาหมึกมาให้แป๊ะโป้ง แต่คุณยายบอกว่าไม่ต้อง เดินหายเข้าในบ้าน เดินออกมาพร้อมหม้อหุงข้าวที่ก้นหม้อดำเพราะใช้ฟืน คุณยายเอานิ้วโป้งป้ายที่ก้นหม้อ แล้วก็เอามาแป๊ะโป้งที่สมุดที่ให้เซ็น แค่นี้ก็เรียบร้อยไม่ต้องรอให้เสียเวลา
(เป็นไงค่ะ ทั้ง 4 เรื่อง ผู้อ่านสรุปเอาเองนะค่ะ สำหรับผู้เขียนคิดว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิธีคิด ภูมิหลังและข้อมูลที่มีอยู่ รวมทั้งการพินิจ วิเคราะห์ของแต่ละคนค่ะ)
จากการประชุม ได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดการฐานข้อมูลอนามัยแม่และเด็ก ซึ่งจังหวัดที่ทำฐานข้อมูลได้สมบูรณ์ที่สุด ได้แก่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา พัฒนามาแล้ว 5-6 ปี คุณพูนชัย ไตรภูธร (คุณจ๋อง) จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เล่าให้ฟังว่าขณะนี้ที่โคราชใช้ข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เนตทุกสถานบริการ ไม่มีการส่งข้อมูลที่เป็นกระดาษแล้ว คุณจ๋องได้เชิญชวนให้ทุกคนไปดูงาน เพราะยิ่งคนมาดูงานมากเท่าไร ก็เท่ากับตัวเองได้พัฒนาเพิ่มขึ้นด้วยเท่านั้น
บรรยากาศในการประชุมและการผ่อนคลายช่วงอาหารเย็นค่ะ
ผลสรุปจากการประชุมได้มีการเพิ่มข้อมูลที่สำคัญบางตัว ตัดข้อมูลที่ไม่จำเป็นออก และมีการแก้ไขการนำเสนอผลลัพธ์ ซึ่งจะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดในที่นี้ เมื่อพัฒนาเสร็จทางกรมนามัยจะแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบอีกครั้ง
โปรแกรมที่พัฒนาจะใช้กับโรงพยาบาลเท่านั้น ได้มีการเสนอแนะให้ปรับใช้กับสถานีอนามัยด้วย เพราะไม่เช่นนั้นข้อมูลจะไม่ครบถ้วนทุกสถานบริการ การวิเคราะห์ในระดับประเทศจะทำไม่ได้ ซึ่งทางผู้จัดได้รับไปพิจารณา เตรียมพื้นที่นำร่องเพื่อพัฒนางานต่อไป
ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเอง
1. ข้อมูลอนามัยแม่และเด็กมีเยอะมาก ทำอย่างไรที่จะลดให้น้อยลง บางแห่งใช้เวลาในการเก็บข้อมูลมากกว่า 1 ใน 3 ของเวลาทำงาน ทำให้เวลาที่จะให้บริการน้อยลง
2. ข้อมูลควรเก็บเท่าที่จำเป็น อาจจะมีการสำรวจเป็นระยะ 1-3 ปีแล้วแต่ความจำเป็น และมิให้ขอข้อมูลย้อนหลัง เพราะจะได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนสูงมาก
3. สิ่งที่สำคัญ ผู้รับผิดชอบต้องใช้ข้อมูลเป็น รู้จักนำข้อมูลมาวิเคราะห์และควบคุมกำกับงาน
4. เมืองไทยมีคนเก่งเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มากมาย สถานบริการใหญ่มีการจ้าง Programmer มาทำโปรแกรมให้ สถานบริการที่เล็กหน่อยก็มีนักวิชาการที่เก่งในเรื่องนี้มาทำเอง เราเสียเวลาและงบประมาณกับเรื่องของการจัดทำโปรแกรมไปเยอะมากทำอย่างไรให้มาร่วมกันทำ มิใช่ต่างคนต่างทำในเรื่องเดียวกัน อย่างเช่นทุกวันนี้ น่าจะมีศูนย์กลางที่จะรวมข้อมูลของประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้องและทันสมัย
5. ฝากสำหรับผู้เกี่ยวข้องว่า ทำอย่างไรก็ได้ใช้เพียงดินสอก็พอ เพราะไม่อยากรอค่ะ....
เอาภาพฟ้าเหนือเมฆมาฝากค่ะ
ขอขอบคุณ คุณกอบกาญจน์ จากสำนักส่งเสริมสุขภาพที่เอื้อเฟื้อภาพบางภาพค่ะ
ช่วงนี้ตรุษจีนพอดี สุขสันต์วันตรุษจีนค่ะ