เรื่องลึกลับ ( แต่ไม่ซับซ้อน) ของผู้ปฎิบัติธรรม


การเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติธรรม  บางครั้งเราอาจจะเจอเหตุการณ์แปลกๆมากมาย   เหตุการณ์ที่ว่าก็คือ การถูกตั้งคำถาม แบบแปลกๆ การถูกมองว่าเป็นคนแปลกๆ  และการถูกคาดหวังแบบแปลกๆ  ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายท่านที่ปฎิบัติธรรมต่างก็เคยผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาไม่มากก็น้อย

ประการแรก เมื่อเราเข้าสู่หนทางการปฎิบัติธรรม จะถูกสงสัยในใจว่า

มีปัญหาอะไรรึเปล่า ?  อกหักใช่ไหม๊ ? มีปัญหาในที่ทำงานล่ะสิ ?

เมื่อเรากลับมาจากการปฎิบัติ เราจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่ต้องธรรมะธรรมโม ไม่ควรโกรธ ไม่ควรใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด อาจต้องออกแนวนุ่งขาวห่มขาว  ต้องพูดช้าๆ  เดินช้าๆ   ถ้าเราไม่เป็นดังนั้น ผู้คนบางกลุ่มจะพากันสงสัยว่า เราอาจไปผิดสำนัก  หรือไม่ก็ยังไม่บรรลุอะไรมา  เราช่างเป็นคนที่น่าสงสารเสียนี่กระไร   

ต่อเรื่องราวเหล่านี้ ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่  เพราะการเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติของแต่ละคนมีเหตุและปัจจัยต่างๆกันไป ถ้าจะถูกเข้าใจไปทางนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องใส่ใจมาก  ต่อให้เรามีปัญหาจริงๆ ในชีวิต ข้าพเจ้าก็มองว่า นี่คือหนทางที่ฉลาดและมีปัญญาอย่างมากแล้วในการหาทางดับทุกข์   คนอื่นจะมองว่าวิธีดับทุกข์แบบนี้ไม่เข้าท่าก็แล้วแต่ความคิดเห็นของท่านผู้นั้น  เพราะหลายคนที่ข้าพเจ้ารู้จักก็ยังนิยมหาทางดับทุกข์ด้วยวิธีโลกๆอยู่  ไปเที่ยว ไปฟังเพลง ไปดื่มหล้า (เผากลุ้ม) แล้วก็กลับมาผจญกับปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ไขอะไร  มันเป็นเพียงวิธีการหนีจากทุกข์และปัญหาไปสักพักก็เท่านั้น  แต่บางคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องฉลาดกว่าการไปปฎิบัติธรรมเป็นไหนๆ ??

ข้าพเจ้าเคยเห็นคนหลายๆคน พอมีทุกข์ก็ไปช้อปปิ้งตามห้าง  ซื้อข้าวซื้อของมามากมาย  บางคนก็หาวิธีดับทุกข์ด้วยการกินแล้วก็กิน  ออกไปหาของอร่อยๆกิน บางคนก็ไปเริงรื่นอยู่ตามร้านเหล้า ตกดึกก็เมากลับบ้าน  แน่นอนนั่นก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะผ่อนคลายความทุกข์ได้  ข้าพเจ้าก็เคยทำแบบนั้นอยู่บ่อยๆ  ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าพบว่า วิธีดับทุกข์ที่แท้จริงนั้น  คือการหันมาศึกษาและปฎิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น และเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดและมีปัญญาที่สุดด้วย 

มีอีกคำถามหนึ่งที่มักจะออกมาในแนวลึกลับซับซ้อน  พอได้ยินแล้วจะทำให้มึนงงมาก  พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว เช่นการถามว่า

ไปนั่งสมาธิมาแล้วเห็นอะไรบ้าง ?

อันนี้ทำเอาข้าพเจ้าอึ้ง..ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

ก็เลยถามกลับว่า พี่จะให้เห็นอะไรล่ะ??

มีชาวพุทธหลายท่านไม่เข้าใจเรื่องของการปฎิบัติธรรม   ส่วนใหญ่เข้าใจว่าการไปปฎิบัติธรรม อันดับแรกต้องไปปฎิบัติที่วัด  ท่านเหล่านี้มักจะถามว่าไปวัดไหน สำนักอะไร   แล้วก็จะถามต่อว่า ไปนั่งแล้วเห็นอะไร  ข้าพเจ้าเลยตอบว่า ไม่เห็นอะไร  พอได้ยินดังนั้นผู้ถามอาจจะผิดหวังกันไปบ้าง เพราะหลายท่านคาดหวังและเข้าใจว่า  ข้าพเจ้าอาจจะเห็นอดีตชาติ เห็นอะไรแปลก ที่เขาว่าๆกันมา

เท่าที่ข้าพเจ้าสังเกตดูและพบเจอมา ในความคิดเห็นของคนทั่วไป มักเข้าใจว่า การไปปฎิบัติธรรมคือการไปนั่งสมาธิ แล้วเห็นอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นดวงแก้วดวงดาว  เห็นสวรรค์ เห็นนรก อะไรประมาณนั้น ทั้งๆที่การปฎิบัติธรรมมีความหมายและวิธีการกว้างไกลและลึกซึ้งกว่านั้นมาก  การปฎิบัติธรรม คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน หายใจก็ให้รู้ว่าหายใจ เดินก็ให้รู้ว่าเดิน  กินก็ให้รู้ว่ากิน แถมมีเรื่องการเดินจงกรม การนั่งสมาธิด้วย  ครูบาอาจารย์ท่านว่าต้องมีทั้งสามส่วนที่ว่า และที่สำคัญที่สุดก็คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน  ไม่ใช่การนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว และการปฎิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องทำแต่ในวัด เรานำมาทำที่บ้านก็ได้ ในที่ทำงานก็ได้ ในทุกเวลานาทีที่เราหายใจเข้าออกนั่นแหละ  แต่การฝึกเข้มหรือการเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติอย่างแท้จริง บางครั้งเราต้องไปศึกษากับครูบาอาจารย์ตามสำนักต่างๆ  ที่เราสนใจ  ให้รู้หลักและวิธีการก่อนเท่านั้น  เหมือนเราเรียนการทำอาหารอะไรสักอย่าง  เบื้องต้นเราอาจจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนสอนทำอาหารเมื่อเป็นและรู้วิธีทำแล้วเราก็นำมาทำที่บ้านได้ แต่ถ้าเราทำแล้วไม่เข้าใจ หรือไม่แน่ใจก็กลับไปถามครูบาอาจารย์ ไปถามผู้รู้มาช่วยชี้แนะได้

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ศึกษาเรียนรู้ว่า ทั้งเถรวาท มหายาน และวัชรยาน ต่างก็มีวิถีแห่งการปฎิบัติที่คล้ายๆกัน นั่นคือต้องมีการเจริญสติเพื่อตื่นรู้ทุกลมหายใจเข้าออก การเดินจงกรม  การนั่งสมาธิ และอาจจะมีการนอนสมาธิเข้าไปด้วย 

การปฎิบัติธรรม กับการนั่งสมาธิจึงไม่ได้มีความหมายเท่ากัน เพราะคำว่าการปฎิธรรมนั้น มีความหมายกว้างไกลกว่านั้นมาก

ต่อการถามถึงเรื่องแปลกๆ เวลานั่งสมาธิ มีกัลยาณมิตรบางท่านเล่าว่า ตอนนั่งสมาธิจะเห็นภาพต่างๆ บางท่านมองเห็นภาพเหมือนย้อนอดีตเห็นคนจมน้ำตาย  เห็นญาติที่ตายจากกันไปแล้วมาปรากฏต่อหน้า  ท่านอาจารย์ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่มักจะกล่าวว่า ที่เห็นนั้นเห็นจริง แต่ภาพที่เห็นนั้นมันไม่จริง จิตของเราสามารถสร้างภาพต่างๆได้ ท่านไม่ให้สนใจให้กำหนดรู้ แล้วกำหนดให้หายไปเสีย ไม่ควรใส่ใจ เรื่องนี้อาจทำให้หลายคนที่คาดหวังว่ามานั่งสมาธิแล้วจะเห็นอดีตชาติของตนรู้สึกผิดหวังนิดๆ  แต่ท่านอาจารยกล่าวว่าการเห็นที่ว่านั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้เราหลุดพ้นอะไร  ถ้าอยากระลึกชาติได้ก็พอจะมีทางอยู่  อย่างน้อยที่ระลึกได้ในชาตินี้ ก็คือชาติชั่วของตัวเอง

เมื่อเราปฎิบัติธรรมมาสักพัก เราจะเริ่มระลึกได้ถึงสิ่งเลวร้ายที่เราทำไว้มากมาย (ในชาตินี้) ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เรากระทำไว้แต่หนก่อน   อาจจะเป็นเรื่องเมื่อหลายๆปีก่อนที่เราได้ทำร้ายจิตใจคนที่เรารัก   และเราจะรู้สึกสำนึกผิดมากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน เราจะยอมรับความผิดนั้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้งเป็นการสำนึกผิดด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องมีใครมาสั่งมาสอน ไม่ต้องมีศาลมาพิพากษา  จิตใจของเราจะเปิดกว้างและยอมรับว่า ที่ผ่านมาเราเลวร้ายอย่างไร  เราทำตัวไม่น่ารักแค่ไหน  เมื่อเราสำนึกได้  และคนที่เราเคยทำร้ายไว้ยังมีชีวิตอยู่ เราจะมีโอกาสที่จะแก้ไขและขออภัยได้  อันนี้ข้าพเจ้าว่าคือการแก้กรรมที่เป็นไปได้   แต่ถ้าคนคนนั้นจากไปแล้วเราก็ยังสามารถกลับตัวกลับใจที่จะไม่ทำร้ายใครต่อใครทั้งกาย วาจา ใจ อีก  การระลึกชาติได้ในชาตินี้จึงมีความสำคัญและมีคุณค่าอยู่มาก  แต่การระลึกไปถึงชาติที่แล้ว มันอาจจะไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ในชีวิต  มาคิดกันเล่นๆว่า ถ้าเราเกิดระลึกชาติได้ว่า ชาติที่แล้วเราฆ่าคนตาย  แล้วเราจะทำอย่างไร  นั่นคือเรื่องในอดีต เราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ โดยเฉพาะอดีตเมื่อชาติที่แล้ว  มาชาตินี้เราจะแก้กรรมนั้นอย่างไรกัน เราจะทำบุญเก้าวัด ถวายทานครั้งใหญ่เพื่อแก้ไขสิ่งที่เรากระทำไว้อย่างรุนแรงนั้นได้หรือ เพราะกรรมคือการกระทำ เมื่อการกระทำได้เกิดขึ้นแล้ว  ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การฆ่าหนึ่งชีวิตจะสามารถทดแทนแก้ไขด้วยการทำบุญเพียงประการเดียวได้อย่างไร เพราะหนึ่งชีวิต ก็ย่อมมีคุณค่าเท่ากับหนึ่งชีวิต  ชีวิตจึงอาจจะต้องแลกด้วยชีวิตเช่นกัน    แล้วเราจะพ้นเคราะห์กรรมนี้ได้อย่างไรกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เมื่อมาพิจารณาถึงจุดนี้

ดังนั้นการระลึกชาติอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสักเท่าไหร่  เพราะสำหรับข้าพเจ้าแล้วแค่ระลึกได้ถึงชาติชั่วของตัวเองในชาตินี้  ก็รู้สึกเศร้าใจไปหลายประการ ถ้าระลึกได้สักสองสามชาติ ข้าพเจ้าคงจะรู้สึกแย่กว่านี้

ครูบาอาจารย์หลายท่านต่างกล่าวว่า การระลึกชาติ การมีอภิญญารู้วาระจิตคน การหยั่งรู้อนาคต เป็นผลพลอยได้จากการทำสมาธิภาวนา แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น  ท่านจึงไม่ได้เน้นให้ปฎิบัติเพื่อการนี้ แต่ท่านเน้นย้ำเรื่องการปฎิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา  ให้เห็นแจ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและใจของเรามากกว่า  ท่านว่าการรู้อดีตก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อชีวิตนัก   การรู้อนาคตก็ไม่เกิดประโยชน์เช่นกัน   แต่การรู้ปัจจุบันคือสิ่งสำคัญที่สุด

อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกันก็คือ การรู้อนาคต การดูดวงชะตาราศรี อันนี้ท่านก็ไม่ได้สอนหรือแนะนำ  การที่เราชาวพุทธทั้งหลายฝากชะตาชีวิตไว้กับการทำนายทายทัก จึงเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในข้อแนะนำของพุทธที่แท้ ถ้าใครได้อ่านหนังสือที่ชื่อว่า ตัวกูของกู ของท่านพุทธทาสจะยิ่งเข้าใจเรื่องนี้ เพราะท่านว่ากล่าวตักเตือนถึงความงมงายในเรื่องทำนองนี้ไว้ค่อนข้างแรงทีเดียว

แล้วข้าพเจ้าไม่มีผลพลอยได้ในเรื่องที่ดูลึกลับซับซ้อน จากการทำสมาธิภาวนาหรืออย่างไร  ก็พอมีบ้าง  ในครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปฝึกที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ข้าพเจ้านั่งสมาธิแล้วสงสัยจิตจะมีสมาธิสูงไปหรืออย่างไรไม่ทราบ   ขณะที่ข้าพเจ้านั่งหลับตาอยู่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ชัดเจนมาก และเมื่อใบไม้ร่วงหล่นลงจากต้นตกลงมาถึงพื้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงตั้งแต่ใบไม้หลุดออกมาจากขั้วเลยทีเดียว  แถมมีครั้งหนึ่งที่นั่งอยู่แล้วเกิดลักษณะเหมือนนั่งอยู่ในถ้ำ มีแสงสีเหลืองนวลๆอยู่เบื้องหน้า และมีความรู้สึกว่าตัวเองได้พยายามติดตามแสงนั้นไป พอไปส่งอารมณ์กับท่านอาจารย์ ท่านบอกให้กำหนดหายอย่าสนใจและอย่าตามไปเป็นอันขาด 

โดยสรุปแล้ว ไม่มีเรื่องลึกลับซับซ้อนใดๆ ในการปฎิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ใดๆ     ไม่ใช่การมาปฎิบัติเพื่อให้ระลึกชาติได้  หรือหยั่งรู้อนาคต  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างการปฎิบัติมีข้ออธิบายได้ทั้งนั้น  หลังการปฎิบัติมาพักหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้ได้และเข้าใจได้ด้วยตัวเองก็คือ  เราทั้งหลายนั้นประกอบด้วยกายกับจิตจริง และจิตไม่ได้อยู่ข้างใน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยู่ข้างนอก   กายมีเสื่อมถอย  จิตมีการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งตั้งอยู่ในกฎของความไม่แน่นอน และแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาจนไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเป็นจริงเป็นจังได้  และความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวงนั้นมักจะเกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆมากจนเกินไป  เมื่อเลิกยึดเหนี่ยวและปล่อยวางได้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกมีความทุกข์น้อยลง 

คำสำคัญ (Tags): #meditation
หมายเลขบันทึก: 213353เขียนเมื่อ 1 ตุลาคม 2008 22:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

สาธุ ๆๆ พี่ยา ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

สวัสดีค่ะคุณประจักษ์

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ

หวัดดีจ้าหมอนิด

เรามีนัดกันปีหน้า  ที่ศูนย์ 2 เดือนมิถุนายน ใช่ป่ะ  ยังไม่ลืมเด้อ จะตั้งใจปฎิบัติต่อไปเรื่อยๆจ้า ปลายพฤศจิกายนนี้ จะไปที่ศูนย์ 1 อีกครั้ง คงจะมีโอกาสได้ไปปฎิบัติเข้มด้วยกันปีหน้านะจ้ะ

จากข้อความที่กล่าวว่า

"มีอีกคำถามหนึ่งที่มักจะออกมาในแนวลึกลับซับซ้อน พอได้ยินแล้วจะทำให้มึนงงมาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว เช่นการถามว่า

ไปนั่งสมาธิมาแล้วเห็นอะไรบ้าง ?

อันนี้ทำเอาข้าพเจ้าอึ้ง..ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

ก็เลยถามกลับว่า พี่จะให้เห็นอะไรล่ะ??"

ถ้าเจอถามอย่างนี้ตอบไปเลยว่า

เห็นจิตตัวเอง รู้สึกตัวว่ากำลังทำ

อะไรอยู่ตลอดเวลาครับ

สวัสดีค่ะ

   ขอขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่แบ่งปัน..สาธุค่ะ

สวัสดีค่ะคุณ xxxyyyzzz

ขอบคุณสำหรับข้อแนะนำเรื่องคำตอบค่ะ  มีหลายคนทีเดียวที่มักจะคาดหวังว่า ถ้าเราไปปฎิบัติธรรมกลับมา เราต้องเห็นอนาคต เห็นอดีต หรือไม่ก็กลายเป็นหมอดูที่รู้อะไรต่อมิอะไรมากมาย  ประมาณว่าต้องได้อภิญญาอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็คิดไปทางไสยศาสตร์โน่น   การปฎิบัติธรรม เป็นอะไรที่หลายคนไม่เข้าใจ   แถมมองเห็นผิดไปจากความเป็นจริงมากมายเลยทีเดียว  ..

สวัสดีค่ะครูแม่มด

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ

ขออนุโมทนาในการปฏิบัติและวิริยะนี้

.....การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องทำแต่ในวัด เรานำมาทำที่บ้านก็ได้ ในที่ทำงานก็ได้ ในทุกเวลานาทีที่เราหายใจเข้าออกนั่นแหละ.....

ขอบคุณค่ะ  และ ขอร่วมอนุโมทนาบุญค่ะ.....

ขอร่วมอนุโมทนา สาทุ กับการเปิดเเนวทางให้ผู้ปฎิบัติธรรมทั้งหลาย รวมถึงตัวดิฉันเอง ได้ทราบถึงหลักความจริงมากขึ้น และมากขึ้นไปอีก เนื้อหาดีมาก ขอบคุณคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท