คำสอนของพระราชบิดา.....


ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงประการเดียว แต่ต้องการให้เธอเป็นหมอที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ด้วย

ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก พระราชบิดาแห่งวงการแพทย์ไทยสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชฯ แต่อีกหลายๆคนก็อาจจะไม่คุ้นเคยนัก แต่พอเรากล่าวว่าพระองค์คือพระบรมราชนกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราชาวสยามหลายท่านจึงถึงบางอ้อ 

ข้าพเจ้าได้รู้จักพระนามของพระองค์เมื่อตอนเข้าเรียนแพทย์ปีหนึ่งการรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร หมอรุ่นพี่เพียงแต่บอกว่าพระองค์เป็นบิดาแห่งวงการแพทย์ไทย  แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจดจำได้มากที่สุดก็คือ คำสอนหนึ่งของพระองค์ คำสอนที่ว่า " ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงประการเดียวแต่ต้องการให้เธอเป็นมนุษย์ด้วย " ข้าพเจ้าว่าเพียงคำสอนนี้คำสอนเดียวก็มีความหมายกินใจข้าพเจ้า ในเบื้องต้นข้าพเจ้าตีความไปว่า  การเป็นหมอก็ควรจะเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งด้วย การเป็นหมอไม่ใช่อะไรที่แตกต่างจากคนอื่น หมอควรทำตัวเป็นคนธรรมดาๆ อะไรแบบนั้น  

ในความรู้สึกตอนนั้น ข้าพเจ้าว่า บรรดาหมอๆหรือคนที่จะเป็นหมอนั้นเป็นพวกแปลกๆ และดูจะทำตัวไม่เหมือนมนุษย์ทั่วๆไป จะว่าทำตัวสูงกว่าคนอื่นก็ไม่เชิงแต่จะเป็นพวกทำตัวไม่เหมือนคนอื่น ออกไปในลักษณะของการมีตัวตนมีความหยิ่งในตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเองทำให้รู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่  อาจเป็นเพราะคนมาเรียนหมอมักเป็นกลุ่มคนที่หัวดี มีความฉลาดกว่าคนอื่นๆ จึงมักหลงคิดไปว่าตัวเองแน่กว่าคนอื่นด้วยก็ไม่ทราบ จึงมีอาการดังว่า  ส่วนตัวข้าพเจ้าเองอยู่ในกลุ่มหัวปานกลางแถมไม่ได้ฉลาดสักเท่าไหร่จึงออกอาการไม่เข้าพวกเป็นบางครั้ง และไม่ได้อินกับอาชีพนี้แม้แต่น้อย แถมไม่ได้มุ่งมั่นที่จะมาเป็นจะมาเรียนในอาชีพนี้  ข้าพเจ้าจึงมีอาการเบื่อๆ กับการเรียนหมอ แต่หลักคำสอนของพระราชบิดา ข้าพเจ้าชอบใจมาก มันเป็นคำสอนที่เตือนสติให้หมอทั้งหลาย รู้จักมีความเป็นมนุษย์ หรือทำตัวให้เป็นคนธรรมดาๆ ติดดินเสียบ้างอะไรประมาณนี้

เป็นเวลานานหลายปีทีเดียวกว่าข้าพเจ้าจะเข้าใจคำสอนนี้อย่างลึกซึ้งแล้วพบว่า  คำสอนนี้มีความหมายและมีคุณค่าแค่ไหน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่า  ความเข้าใจอันลึกซึ้งนั้นจะเหมือนกับหมอท่านอื่นๆหรือไม่  ข้าพเจ้าเป็นหมอที่จำต้องมาเป็นหมอ บังเอิญว่าสอบติดเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ บางคนอาจจะคิดในใจว่าดัดจริต เพราะคนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็อยากเรียนกันทั้งนั้นอาชีพนี้ แต่ข้าพเจ้ามาด้วยความบังเอิญจริงๆ  สมัยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีสุดท้าย เวลาเราจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเราจะเลือกอันดับสูงๆ ไว้เป็นอันดับแรก แล้วก็รองลงมา ตอนเลือกคณะนั้นเพื่อนๆบอกว่า อันดับหนึ่งต้องสูงไว้ก่อนแต่เราจะเอาคณะที่เราอยากติดจริงๆ ไว้รองลงมา อันดับหนึ่งไม่หวัง แต่หวังอันดับสามโน่นตอนเลือกคณะแพทย์เป็นอันดับหนึ่งข้าพเจ้ายังไปโกหกทางบ้านว่าไม่ได้เลือกคณะนี้   ทำเอาพ่อและแม่ผิดหวังเพราะเป็นธรรมดาของผู้ใหญ่ที่อยากจะให้เราเรียนอะไรๆที่ดีในสายตาของท่าน และข้าพเจ้าต้องทนแรงกดดันมาตลอดเพราะถูกบอกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เลือกเรียนหมอซึ่งเป็นวิชาชีพที่ข้าพเจ้าไม่คิดใฝ่ฝันที่จะเป็น โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่ข้าพเจ้าไม่อยากเข้าที่สุดเพราะที่นั่นมีแต่ความทุกข์ มีแต่กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคและข้าพเจ้าไม่ชอบหมอ

อันที่จริงข้าพเจ้าชอบวาดรูป อยากเรียนถาปัด ฯหรือไม่ก็เรียนคณะวนศาตร์ แถมความฝันตอนเด็กๆของข้าพเจ้าคือการเป็นครู ข้าพเจ้าคิดว่าครูคืออาชีพที่มีคุณค่าครูสอนเด็กๆให้มีความรู้ เป็นแม่พิมพ์ของชาติดูดีและน่ายกย่องจะตาย จำได้ว่าวันหนึ่งคุณครูประจำชั้นถามว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร ข้าพเจ้ากลับบอกว่า อยากเป็นครู   ทำเอาคุณครูส่ายหน้าแล้วบอกว่า เรียนก็เก่ง ไปเรียนหมอสิ  ?? แล้วทุกๆคนก็บอกว่า  ข้าพเจ้าต้องเรียนหมอ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะเรียนแม้แต่น้อย

บางทีอะไรมันก็ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการเหตุปัจจัยบางอย่างทำให้ข้าพเจ้าต้องมาทำหน้าที่นี้ ข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะมาอยู่ในดงคนเก่งสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเบื่อหน่ายกับการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นตอนอยู่มัธยมปลาย ข้าพเจ้าเรียนในโรงเรียนที่เขาว่าสอบเข้าคณะแพทย์ได้มากที่สุด  ที่นี่เต็มไปด้วยคนเก่ง  มีการแข่งขันกันน่าดู มีครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเกิดสอบวิชาชีววิทยาได้คะแนนสูงสุดของทั้งสี่ห้อง มีใครหลายคนเกิดสนใจว่า ข้าพเจ้าเป็นใครมายังไงและรู้สึกถูกลองดีลองภูมิความรู้อยู่ระยะหนึ่ง  ชีวิตอันสงบๆแบบเดิมๆที่ไม่ค่อยมีใครสนใจจะมารู้จักของข้าพเจ้าจึงเกิดวุ่นวายขึ้นมา พอสักพักหลายคนก็รู้ว่าที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ได้เก่งอะไรสักเท่าไหร่นี่หว่าพวกเขาก็เลยเลิกสนใจที่จะมาลองภูมิอีก ทำให้ข้าพเจ้าโล่งใจและกลับมามีความสุขอีกครั้ง

 พอมาอยู่ในคณะแพทย์ก็ไม่ต่างกัน นักเรียนแพทย์ส่วนใหญ่เอาจริงเอาจังมาก เกรดคะแนนเป็นเรื่องใหญ่และแข่งขันกัน  แต่ข้าพเจ้าเริ่มเบื่อหน่ายการวิ่งแข่งอันนี้และจะเลิกเรียนเสียกลางคันด้วยซ้ำ แถมข้าพเจ้ายังไปคบหากับเพื่อนต่างคณะ เช่น วิทยาศาสตร์ มนุษยศาตร์  ไม่ค่อยเข้ากลุ่มคณะเดียวกันสักเท่าไหร่ ออกจะไปในแนวไม่ฝักใฝ่ในคณะเดียวกัน  จนเพื่อนๆในคณะบางคนมองว่าข้าพเจ้าท่าจะเป็นพวกมีปัญหาเข้าสังคมของหมอๆไม่ได้  ตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ปีหนึ่งและคิดไปไกลว่าจะสอบเอนทรานใหม่ด้วยซ้ำ 

สุดท้ายข้าพเจ้าก็เข็นตัวเอง เรียนจนจบ บางทีเราก็ไม่สามารถเลือกอะไรหรือทำอะไรตามใจจริงๆได้ถ้าเราไม่มีความกล้าพอที่จะแหกกฎแหกค่านิยมของสังคมบางอย่าง ไม่นับรวมถึงความเสียอกเสียใจของพ่อแม่ที่อาจเกิดขึ้น ถ้าเราแหกกฏ แล้วเลิกทำอะไรบางอย่างที่ชาวประชาทั้งหลายเขาว่าดี  ส่วนใหญ่การเรียนหมอก็คงจะดีกว่าการเรียนเป็นอะไรอย่างอื่นอยู่แล้วในสายตาของท่าน

ข้าพเจ้าจึงไม่ได้อินกับอาชีพหมอสักเท่าไหร่     แต่ข้าพเจ้าชอบคำสอนของพระราชบิดาประโยคนั้น  และนึกแสวงหาหมอที่เป็นมนุษย์ธรรมดา แบบที่พระองค์กล่าวถึงแต่ข้าพเจ้าไม่ได้พบเจอสักคน  มาเจอก็ตอนจบไปใช้ทุนปีแรก พอเรียนจบ ข้าพเจ้าก็เลือกไปใช้ทุนในจังหวัดที่อยู่ห่างไกลแถบชายแดนทางเหนือ ตอนเลือกนั้นไม่ต้องแย่งกับใครเพราะที่จังหวัดนั้นรับสามคนแต่มีคนเลือกลงแค่สองคนด้วยซ้ำภายหลังจึงได้เพิ่มมาครบสาม 

 มาอยู่จังหวัดนี้รู้สึกดีที่พบแต่พี่หมอซึ่งมีความเป็นชาวบ้านและเป็นมนุษย์ธรรมดาๆหน่อยมีเพื่อนฝูงที่เป็นหมอบ้านนอกๆ   กินอยู่ง่ายๆใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ  ไม่มีหมอที่ทำท่าเป็นหมอตลอดเวลาและมักจะคิดว่ากูคือพระเจ้าอะไรแบบนั้น  

เมื่อมาอยู่ที่จังหวัดนี้ เราทั้งหลายจะเป็นสมาชิกของพอสว.โดยปริยาย เพราะที่นี่ห่างไกลมีออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่อยู่แล้ว ข้าพเจ้าก็สมัครเป็นด้วย  เมื่อสมัครเป็น พอสว.หรือแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เราจะได้รับผ้ามาตัดเสื้อ เป็นเสื้อกาวน์สีเทาๆ กับสมุดพกเล่มเล็กๆสีแดงประจำตัว  เข็มกลัดและหนังสือเล่มบางๆอีกหนึ่งเล่มที่ชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร

การออกหน่วยแพทย์อาสา ตอนนั้นมีออกเป็นระยะๆแต่ที่จำได้ก็คือข้าพเจ้าได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เป็นครั้งแรกในชีวิตเพราะการออกหน่วยคราวนั้น รถไปไม่ถึงต้องนั่ง ฮ.ไปลง แถมพื้นที่ที่ไปติดชายแดนมากจึงมีทหารหน่วยหนึ่งเดินข้ามดอยมาเป็นลูกๆเพื่อมาคุ้มครองอารักขาเรา  เป็นการออกหน่วยที่สนุกดี การออกหน่วยของหมอที่นั่นในสมัยนั้นเป็นเรื่องสนุกสนานและชอบที่จะออกไปกัน  เข้าป่าเข้าดอยเหมือนได้ไปเที่ยว ไปทำงานด้วยสนุกด้วยแต่หมอหลายคนในปัจจุบันนี้อาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นแล้ว 

ข้าพเจ้าทำงานในอาชีพตามสมควรตามหน้าที่เมื่อถึงเวลาเรียนต่อข้าพเจ้าก็เลือกไปเรียนต่อ ถามว่าตอนนั้นข้าพเจ้าอินในอาชีพหรือ ภูมิใจในอาชีพหรือก็ยังคงไม่ แต่ข้าพเจ้าพยายามทำตามหน้าที่ให้ดีก็คงเท่านั้น

การไปเรียนหมอเฉพาะทางในสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าพบหลายสิ่งหลายอย่าง  มีคนบอกว่าที่นี่โหดมากหมอที่มาเรียนต่อเฉพาะทางที่นี่จะต้องผจญกับอาจารย์ดุๆระบบเก่าๆ  ตึกเก่าๆ และทำงานเหนื่อยมากยิ่งกว่าที่ใดๆ ข้าพเจ้าเห็นจริงตามนั้นการอยู่ที่สถาบันแห่งนี้ทำให้ข้าพเจ้าอึดอัดขัดข้องใจมากๆแต่ความยากลำบากนั้นก็คือการสอนเราให้อดทน  แม้บางครั้งจะทนเกือบไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็พบสิ่งที่ดีและมีคุณค่าที่นั่นด้วย ข้าพเจ้าได้พบอาจารย์ดีๆที่แม้จะดุบ้างแต่หลายท่านมีความเป็นครูที่สูงมาก การที่เราถูกดุด่าก็เพราะว่าเราอาจจะดูคนไข้ไม่ดี ทำงานยังไม่เรียบร้อย  อาจารย์ท่านหนึ่งไม่เคยเรียกคนไข้ว่า คนเตียงที่ 10 คนไข้เตียงที่ 11  แต่อาจารย์เรียกชื่อคนไข้เสมอ การเรียกชื่อคนไข้เป็นการย้ำเตือนว่าคนไข้คนนั้นไม่ใช่วัตถุสิ่งของ ไม่ใช่เตียง  การปฎิบัติต่อเขาจึงเป็นการปฎิบัติต่อมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่วัตถุ ทำให้เราตระหนักรู้ว่าเขาก็คือคนเช่นเรา   จำได้วันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดไม้ของตึกมหิดลบำเพ็ญรุ่นพี่ที่นับถือกัน และกำลังก้าวเดินขึ้นตึกไปด้วยกันได้บอกว่า"ขอให้น้องจำไว้เวลาก้าวเดินขึ้นบันไดตึกนี้ จงระลึกถึงพระราชบิดาที่ท่านบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อสร้างตึกนี้ขึ้น " รุ่นพี่ท่านนี้เป็นอีกผู้หนึ่งที่สั่งสอนข้าพเจ้าให้รู้จักว่า แพทย์ที่มีหัวใจเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร และการสอนนั้นไม่ใช่การสอนด้วยวาจา แต่เป็นการทำให้ดูปฎิบัติให้เห็น  เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นจริงๆจังๆว่าหมอที่แท้ควรดูแลคนไข้อย่างไร ควรมีความอดทนแค่ไหนและต้องทุ่มเทอย่างไร  และการเป็นหมอคืองานที่มีคุณค่าแค่ไหนความเอื้ออาทรและความทุ่มเทที่รุ่นพี่ท่านนี้ปฎิบัติตอนดูแลคนไข้ ทำให้ข้าพเจ้าได้แต่คิดในใจว่าขอเป็นได้และทำได้แค่ครึ่งหนึ่งของรุ่นพี่ท่านนี้ก็พอแล้วและชาตินี้คงจะไม่สามารถทำได้ดีเท่ารุ่นพี่ท่านนี้เป็นแน่

ที่นี่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสชมนิทรรศการแสดงประวัติของพระราชบิดาและมีการตั้งแสดงข้าวของบางอย่างของพระองค์ ที่ประทับใจก็คือแผ่นกระดาษที่เป็นเหมือนสมุดบันทึกของพระองค์ พระองค์เรียนจบมาจากเมืองนอก พระองค์บันทึกสิ่งต่างๆในวิชาทางการแพทย์ด้วยลายมือที่อ่านง่ายและเป็นภาษาอังกฤษ การจดบันทึกนั้นเรียบร้อยสวยงามและเป็นการบันทึกอย่างตั้งพระทัยในการศึกษาเล่าเรียนวิชาแพทย์อย่างมากทีเดียว  เมื่อข้าพเจ้านึกถึงสมุดบันทึกวิชาความรู้ของข้าพเจ้าตอนเรียนหมอก็สำนึกได้ว่าไม่ได้ตั้งใจเท่าที่ควร เป็นการเขียนแบบเขี่ยๆไป เหมือนจะสะท้อนว่า ที่ผ่านมาตอนเรียนหมอข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะเรียนสักเท่าไหร่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นหมอสักเท่าไหร่  แต่พระราชบิดานั้น พระองค์เห็นคุณค่าในอาชีพนี้และพระองค์มีพระประสงค์ที่จะอยู่ในอาชีพนี้ เมื่อไปศึกษาประวัติของพระองค์โดยละเอียดมากขึ้น ข้าพเจ้าก็พบว่าพระองค์มีพระพลานามัยไม่ค่อยแข็งแรงนักกว่าจะเรียนจบเป็นหมอจาก Harvard medical  school มาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

คำสอนของพระราชบิดานั้น เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งและมีความหมาย เมื่อเริ่มต้นข้าพเจ้าอาจจะไม่เข้าใจอะไรนัก ไม่ซาบซึ้งอะไรนัก หลายๆปีผ่านไป  จึงเข้าใจและรับรู้ว่า สิ่งที่พระองค์สอนก็คือ

" ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงประการเดียวแต่ต้องการให้เธอเป็นหมอที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ด้วย "

 นั่นคือความหมายที่แท้จริงในคำสอนนี้

ในวันที่พระพี่นางสวรรคต มีการนำเสนอพระกรณียกิจของพระองค์เรื่องการดูแลงานพระราชกรณียกิจต่อจากสมเด็จย่า งานนั้นคืองานหน่วยแพทย์อาสา พอสว. และเป็นอย่างไรไม่รู้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งนึกได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านเนิ่นนานแค่ไหน แม้ข้าพเจ้าจะย้ายที่ทำงานบ่อยๆแต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะนำติดตัวไปด้วยเสมอก็คือเสื้อหน่วยแพทย์อาสา สมุดพกประจำตัวแพทย์อาสาเล่มสีแดงเล็กๆนั้น  พร้อมกับหนังสือที่ชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร นี่คือหนังสือธรรมะเล่มแรกสุดของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็นำมันติดตัวไปด้วยเสมอไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่ไหน 

 

วันนั้นข้าพเจ้าเดินขึ้นไปบนห้องนอนพอหยิบสมุดพกเล่มสีแดงขึ้นมาเปิดดู ก็เพิ่งสังเกตว่า ทางด้านขวาของสมุดพกที่มีลายพระหัตถ์ของสมเด็จย่านั้น  พระองค์ลงลายพระหัตถ์ให้ด้วยพระองค์เองด้วยปากกาหมึกซึม  เป็นลายพระหัตถ์จริงๆ ที่แพทย์ พอสว. ต่างได้รับ  ข้าพเจ้านึกภาพไปว่า  สมเด็จย่าคงจะใช้พระหัตถ์จับสมุดพกเล่มนี้และแว่บหนึ่งพระองค์คงจะทอดพระเนตรดูใบหน้าของเราจากรูปถ่ายด้านซ้ายเล็กน้อย ก่อนที่พระองค์จะลงลายพระหัตถ์นั้น น่าแปลกใจที่ข้าพเจ้าเพิ่งจะสังเกตเห็นความสำคัญในเรื่องนี้

  พระราชบิดาสวรรคต เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472พระชนมายุ 37 พรรษา 8  เดือน  23 วัน  สมเด็จย่าต้องเลี้ยงดูพระราชโอรสและพระราชธิดาเพียงลำพัง คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสำหรับพระองค์ในขณะนั้น สมเด็จพระพี่นางต้องช่วยพระมารดาในเรื่องนี้         ความผูกพันธ์ของสมเด็จพระพี่นางฯกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคงมากมายนัก มากเกินว่าที่เราทั้งหลายจะรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งเพียงพอ ..

คำสอนของพระราชบิดา  สมุดพกประจำตัวของแพทย์พอสว.   กับการที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินสยามและมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นพระประมุข และการสวรรคตของสมเด็จพระพี่นาง ฯ     ทำให้ข้าพเจ้าต้องกลับมาทบทวนและมองเข้าไปอย่างลึกซึ้งว่า  ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีหัวใจที่เป็นมนุษย์หรือยัง  และข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่ดีแล้วหรือไม่  ข้าพเจ้าต้องทบทวนตัวเอง..

  

คำสำคัญ (Tags): #พระราชบิดา
หมายเลขบันทึก: 224209เขียนเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2008 00:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:53 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

น้อมรับคำสอนค่ะ

ขอบคุณนะคะ 

มีความสุขในทุกๆวัน นะคะ

สวัสดีค่ะหมอยา

ได้อ่านเรื่องประทับใจอีกหลายๆเรื่อง บางเรื่องราวของชีวิตก็คล้ายกันจนไม่น่าเชื่อ เรื่องราวเหล่านั้นพี่เขียนไปก่อนหน้านี้ เขียนเสร็จส่ง เน็ตล่มส่งข้อความที่เขียนทั้งหมดไม่ได้ ข้อความเหล่านั้นสูญหายไป กลับเข้ามาอีกทีเขียนใหม่ก็ไม่ได้แบบเดิมแล้วล่ะ เป็นไปตามกฏธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แล้วจะแวะเข้ามาสรรหาเรื่องราวต่างๆอ่านต่อไปเรื่อยๆค่ะ ปีหน้าคงได้ไปสวนโมกข์ด้วยกันนะ ต้องวางโปรแกรมล่วงหน้านานหน่อย ขอเป็นช่วงเอื้องปิดเทอมนะ อยากให้ลูกได้มีโอกาสไปแสวงบุญด้วย ขอให้ธรรมจัดสรร และบุญบันดาลด้วยเถิด สาธุ

  • สวัสดีค่ะ
  • แวะมาอ่านเรื่องราวดีดีค่ะ
  • ขอให้มีความสุขนะคะ

เข้ามาอ่านเรื่องของพี่เรื่อยๆนะจ๊ะ ช่วยเตือนสติได้มากเลยค่ะพี่ยา ขอให้พี่เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปจ้า

สวัสดีค่ะคุณสายธาร

ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกันค่ะ

 

 

พี่เตือน

ปีหน้ามีโครงการดีๆ หลายเรื่องทีเดียว  เราไปสวนโมกข์ช่วงที่เอื้องปิดเทอมนะคะ

สวัสดีค่ะ คุณ Lovefull

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ ขอให้มีความสุขเช่นกันค่ะ

ถึงหมอนิด

ในเร็วๆนี้  เราคงจะได้พบกันจ้า  ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปเช่นกัน

  • ตามมาทักทายพี่
  • พี่หายไปนานมาก
  • พี่เกียวด้วยครับ
  • รออ่านอีก
  • ขอไปทักทายพี่เกียวก่อนครับ

สวัสดีค่ะคุณขจิต

ที่หายไปเพราะหนีความวุ่นวายของเมืองสยาม  ไปเดินป่า(Trekking )ที่รัฐสิกขิม ประเทศอินเดียมาค่ะ  หายไปสิบกว่าวัน  กลับมาอีกครั้งประเทศสยามยังยุ่งวุ่นวายเช่นเดิม แถมตอนนี้ยุ่งกว่าเก่าอีก  

นักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง

ขอบคุณมากค่า ที่ได้แบ่งเรื่องเล่าดีๆมาให้ได้ฟังกัน

ทำให้ได้ข้อคิดมากมาย

ถึงแม้ว่าตอนนี้ข้าพเจ้าจะเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์ยังไม่ได้ขบเป็นแพทย์

แต่ก็จะขอสัญญาว่าจะทำหน้าที่นักศึกษาให้ดีที่สุด

เพื่ออนาคตในอีกไม่ถึง ห้าปีข้างหน้า

จะจบเป็นแพทย์ที่ดี

รักษาคนไข้ให้หายได้

ขอน้อมรับคำสอนด้วยใจภักดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท