โลกแห่งความจริง โลกของปัจจุบันขณะ ... ที่นี่และเดี๋ยวนี้


 

การรับรู้เรื่องราวของโลกทั้งสาม  โลกของตรีกาย  เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจทีเดียว  ช่วงหลังๆ ข้าพเจ้ามักพูดเล่นๆ กับกัลยาณมิตรที่คุ้นเคยกันว่า   ไม่ว่าจะยังไงขณะนี้ เราทั้งหลายก็ยังวนเวียนอยู่ในโลกของกายหยาบ  โลกของนิรมาณกายนี่แหละ    เราอยู่เพียงพื้นผิวภายนอกของทุกๆสิ่ง  อยู่ในสังสารวัฎ  อยู่ในความวุ่นวายปั่นป่วน นี่แหละ

 

  การปฎิบัติสมาธิภาวนาโดยวิธีการและเทคนิคต่างๆ  นั้น   ดูเหมือนว่าทุกๆสายการปฎิบัติ   ต่างมุ่งหวังให้เราละทิ้งตัวตน  แล้วกลับไปสู่จิตเดิมแท้   กลับเข้าสู่โลกของสัมโภคกาย  และธรรมกาย  หรือกลับไปสู่ดินแดนแห่งหนึ่งที่เรียกว่า แดนนิพพาน  ในทางเถรวาท     

 

เมื่อเรายังกลับไปไม่ได้  เราก็เวียนวนอยู่ที่พื้นผิวนี้   เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้    นี่เป็นความจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย   หลายๆคนที่ไม่ได้สนใจทางธรรม  อาจจะมองเห็นว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้นก็สนุกดีออก   สุขๆ ทุกข์ๆ กันไป  เกิดมาเป็นคนทั้งทีก็ต้องมีความสุขสนุกสนานกันให้เต็มที่    อะไรที่ควรมี  ควรได้   แล้วทำให้ตนมีความสุข ก็ต่างวิ่งแสวงหากันไป    การมีบ้านหลังใหญ่  มีเกียรติ  มีหน้ามีตาในวงสังคม  มีเงินมากมายหลายพันล้าน  มีความยิ่งใหญ่ในบารมีอำนาจ ผู้คนกราบไหว้สรรเสริญ    คงจะยิ่งทำให้ตนมีความสุข    และเงินทองที่มีมากมาย ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยในการซื้อหาความสุขอื่นๆเพิ่มเติมได้อีกมากทีเดียว   คนส่วนใหญ่คิดเห็นกันเช่นนั้น

 

 

ส่วนในผู้แสวงหาธรรมนั้นเล่า  บางคน ก็สุดโต่งไปอีกข้างหนึ่ง    เมื่อเริ่มมองเห็นภัยในวัฎสงสาร   ต่างก็มุ่งหวังได้มรรคผลนิพพานไปเสียทั้งหมดทั้งสิ้น   บางคนถึงขนาดทิ้งสามี ทิ้งลูก   ทิ้งหน้าที่การงาน  และมุ่งหวังสู่นิพพานประการเดียว   ด้วยอาจจะคิดว่าเมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว   จะมีความสุขอย่างปรานีต   มีสุขบรมสุขอย่างที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายว่ากัน    สุดท้ายก็ยังไม่พ้นความอยากมีอยากเป็นและอยากได้เพื่อตัวของเราเองอีกเช่นกัน 

 มีคำกล่าวของท่านพุทธทาส  .. เป็นคำกล่าวที่น่าสนใจมาก  ท่านกล่าวว่า  ถ้าจะให้ถึงพระนิพพาน  ก็ให้ถึงที่นี่และเดี่ยวนี้   ในชาตินี้นี่แหละ ไม่ต้องไปมุ่งหวังแสวงหาที่ชาติไหน    ท่านว่า เราสามารถถึงพระนิพพานได้ในชาตินี้กันเลย     คำกล่าวของท่านพุทธทาสเป็นคำกล่าวที่โดนใจข้าพเจ้าอย่างจัง  แต่ก็สงสัยใจในว่า เราทำได้จริงๆหรือ  สำหรับท่านคงเป็นไปได้อยู่แล้ว  แต่สำหรับคนที่อยู่ในโลกอันวุ่นวาย และไร้ความเพียรอย่างเรา  คงจะอีกหลายชาติอยู่

 ในขณะที่กัลยาณมิตรหลายคนที่ข้าพเจ้ารู้จัก   ต่างคิดมุ่งหวังไปสู่นิพพาน  หรือขอให้ได้เป็นพระโสดาบันเป็นอย่างน้อยในชาตินี้     ข้าพเจ้ากลับยังรีๆรอๆอยู่   ถ้าเป็นการวิ่งแข่ง  ข้าพเจ้าว่า ตนเองยังอยู่ที่จุด start อยู่เลย  การไปสู่นิพพานเป็นเรื่องดีแน่  แต่เราจะมุ่งวิ่งไปโดยไม่สนใจอะไรระหว่างทางแล้วหรือ .. ไม่สนใจว่าใครจะทุกข์  ไม่สนใจว่าใครจะอยู่อย่างไร  ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน  กรรมใครกรรมมันอย่างนั้นรึเปล่า

 

  ลึกๆแล้วข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะเป็นพระโสดาบัน  ด้วยซ้ำ   แต่ประสงค์ที่จะไม่กลับมาอีก  นี่ก็เป็นความอยากมีอยากเป็นอีกเหมือนกัน   การไม่กลับมาอีก ท่านว่าก็คือเข้าสู่นิพพานนั่นเอง     จุดหมายของเราทั้งหลายที่ปฎิบัติธรรมก็คือการไปที่แห่งนั้น   และนิพพานในความคิดเห็นของข้าพเจ้า คือการกลับไปอยู่ในสรรพสิ่ง  ไปสู่จิตเดิมแท้   จากผิวนอกของโลกนิรมาณกาย  ไปสู่ ธรรมกาย ( ในความหมายของมหายาน และวัชรยาน )    กลับไปสู่ความไม่สุข ไม่ทุกข์ ,  ไม่มา -ไม่ไป  ,  ไม่ตาย -ไม่เกิด  , และเป็นสภาวะ ทั้งดำรงอยู่ และไม่ดำรงอยู่ 

  แต่การจะไปถึงที่นั่นคงอีกยาวนานมาก  เพราะข้าพเจ้าก็ยังเป็นผู้เริ่มต้น  และยังมีความเพียรที่น้อยมาก  เมื่อเทียบกับครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

 

โลกของความจริงก็คือ    ข้าพเจ้ายังอยู่ที่นี่  ในโลกที่วุ่นวายปั่นป่วนนี้   ยังมีลมหายใจเข้าออก  และมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตาของตนเอง  ได้ลิ้มชิมรสอาหาร  ได้มองเห็นสีสันอันสวยงามของโลก  ได้รับรู้สิ่งที่ดีและไม่ดีในชีวิตแบบโลกๆ     ข้าพเจ้าไม่ได้มีหูทิพย์ ตาทิพย์  หรือพลังพิเศษใดๆ    ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

 แต่หลังการปฎิบัติสมาธิภาวนา  ข้าพเจ้าพบว่า  ประสาทสัมผัสรับรู้ของตนเองนั้น  กว้างไกลกว่าปกติ  และแจ่มชัดกว่าที่เคยเป็น   ในวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่  ข้าพเจ้ามองขึ้นไปบนต้นไม้   ก็มองเห็นกระรอกน้อยสามตัววิ่งเล่นอยู่บนกิ่งไม้   สายตาของข้าพเจ้าสามารถมองเห็นมันวิ่งได้ชัดเจนมาก แม้จะวิ่งไปในทิศทางต่างกันก็ตาม   เมื่อเดินไปทำงานในตอนเช้า  ข้าพเจ้ามองเห็นน้ำค้างหยดเล็กๆ บนต้นไม้ใบหญ้า  สะท้อนแสงแดดยามเช้าระยิบระยับ  มันดูสวยงามมากทีเดียว

 

  ตอนที่ข้าพเจ้าไปสิกขิม   เมื่อเดินไปบนพื้นดินของแผ่นดินสิกขิมข้าพเจ้าพบว่า  พื้นดินที่นั่นมีองค์ประกอบของเม็ดทรายเล็กๆ  ใสๆ ที่สามารถสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายระยิบระยับ   เมื่อเราเดินไปบนผืนแผ่นดินของที่นั่น   จึงเสมือนเราเดินไปบนทางเดินที่โรยด้วยกากเพชร

 

และเมื่อข้าพเจ้ามองไปบนท้องฟ้า  เห็นนกกระพือปีกผ่านมา  ข้าพเจ้าก็สามารถมองเห็นการขยับปีกของมันได้ชัดเจนขึ้น  และเมื่อมีใบไม้ร่วงหล่นลงมาจากต้น  ข้าพเจ้ามองเห็นการขยับพลิกไปมาของมันตามแรงลม  เหมือนเห็นภาพสโลโมชั่นอันงดงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน    ในช่วงเวลานั้น  ข้าพเจ้าได้ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีความมหัศจรรย์และงดงามอย่างไม่เคยรับรู้มาก่อน

 

 ในชีวิตประจำวันของเรานั้น มีสิ่งสวยงามเหล่านี้อยู่   แต่ข้าพเจ้าไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลย

 

เราทั้งหลายมักจะมองหาสิ่งที่สวยงามข้างหน้า  หาความสุขข้างหน้า  บางคนถึงกับฝ่าฟันที่จะไปในที่ที่สูงที่สุดของโลก ที่ที่เขาว่าสวยงามที่สุดในโลก   เพียง เพื่อจะไปดูอะไรสักอย่าง ที่ว่าสวยงามนั้น   ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า เมื่อหลายคนไปยืนอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆ  บางทีพวก เขาก็จะไม่สามารถมองเห็นความสวยงามจริงๆของมันเลย  เพราะตราบใดที่กายและจิตเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น  ไม่อยู่ในปัจจุบันขณะ   กลับไปคิดถึงเรื่องอดีต  ปรุงแต่งไปในอนาคต  และจิตฟุ้งซ่านว่าเราอยู่ที่นี่ ก็ดีอยู่หรอกนะ  แต่ถ้าคนนั้นมาด้วย คนนี้มาเห็นเราก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้ .. ถ้าวันนี้อากาศเปิดกว่านี้คงจะสวย   ถ้าตอนนี้หิมะตก  คงจะไม่งามสักเท่าไหร่     กลายเป็นว่าเราหลายๆคนก็ยังอยู่ในโลกของความคิด  ไม่ได้อยู่กับความจริงเบื้องหน้า  ไม่ได้มองโลกอย่างเต็มตาและเต็มหัวใจ   เพราะในห้วงเวลานั้น เรามัวแต่ไปคิดๆ ฝันๆอยู่  แถมมัวไปใส่ความคิดเห็นในสิ่งต่างๆ  ที่อยู่เบื้องหน้าอยู่   เราจึงสักแต่มอง ทว่าไม่เห็น   ฟังแต่ไม่ได้ยิน     เราพลาดจากปัจจุบันขณะไปอีกครั้ง  และอีกครั้ง  เรื่อยๆไป

กัลยาณมิตรของข้าพเจ้าหลายคน  เป็นตากล้องมือฉมัง   หลายคนถ่ายรูปสวยมาก  แค่ภาพดอกไม้และรายละเอียดของมันก็สวยสดงดงามเหลือเกิน      ข้าพเจ้านึกสงสัยว่า  ถ้าเราสามารถมองเห็นความสวยงามของมันในขณะนั้น ด้วยสายตาของเราเอง โดยไม่ต้องมองผ่านเลนส์ของกล้องถ่ายรูปเลย   มันจะสวยงามขนาดไหน    สายตามนุษย์เรามีความพิเศษกว่าอะไรๆ   เรามองเห็นสีสัน และสามารถจำแนกแยกสีต่างๆ  ได้ตั้งแต่โทนอ่อนสุดไปจนถึงเข้มสุด  การรับรู้ของเราทางอายตนะทั้งหกนั้น   มีความพิเศษมากมาย  และอาจจะมีคุณภาพสูงมากจนเราคาดไม่ถึง    และ แน่นอนว่าการรับรู้นั้น  อาจจะมีเรื่องราว  มีภาพและสีสัน ที่ไม่น่ายินดีพอใจสักเท่าไหร่   แต่ ในขณะเดียวกันเราก็รับรู้สิ่งสวยงามมากมาย   แต่ เรากลับมองข้ามไปและไม่เห็นคุณค่าเช่นกัน   

 

การมองเห็น การรับรู้ของเราในแต่ละปัจจุบันขณะ  คือโลกของความจริง   คือโลกของความงาม   ขอเพียงแต่เราอยู่ตรงนั้นที่นั่นอย่างแท้จริงกับสิ่งนั้น   ไม่ปรุงแต่ง  ไม่คิด  เราก็จะพบกับความมหัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยเจอพบมาก่อน

 

  ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องเล่าหนึ่ง ขึ้นมาได้      กาลครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล  พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ทรงถือดอกบัวไว้ในพระหัตน์  แล้วชูขึ้น    ในขณะที่พระสาวกหลายๆ องค์ ต่างมัวแต่ครุ่นคิดว่า  พระพุทธเจ้าหมายถึงอะไร และกำลังแสดงธรรมข้อใด    แต่พระมหากัสปะ กลับมองดอกบัวในพระหัตน์ของพระพุทธเจ้าแล้วก็ยิ้ม  ......

 

  บัดนี้ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจแล้วว่า  ทำไมพระมหากัสปะจึงยิ้ม    เพราะเมื่อเรามองเห็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่สวยสดงดงามตรงหน้า  ด้วยกายและจิตที่อยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริง  เราควรจะยิ้ม และขอบคุณความงดงามของมัน    แต่เราจะไม่ยึดหรือปรุงแต่งมันต่ออีก  เรารับรู้ความงดงามของมันที่นี่และเดี่ยวนี้    ถึง แม้เราจะรู้ว่า  มันคงจะเหี่ยวเฉาและแปรเปลี่ยนไปเป็นขยะในไม่ช้า   เพราะเส้นทางมันย่อมเป็นไปเช่นนั้นก็ตาม ..

 

ดังนั้น  โลกแห่งความจริงของเราทั้งหลาย  ไม่ใช่โลกของนิรมาณกาย  ไม่ใช่โลกของสัมโภคกาย  หรือธรรมกาย  แต่ คือโลกแห่งปัจจุบันขณะ   คือ ที่นี่และเดี่ยวนี้ ...

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ปัจจุบันขณะ
หมายเลขบันทึก: 276467เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2009 16:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท