การเดินบนพื้นโลก คือ... ปาฎิหาริย์


 

ครั้งหนึ่งในงานภาวนาของหมู่บ้านพลัม  ข้าพเจ้าเคยได้ยินหลวงพี่นิรามิสา เล่าว่า  เวลาท่านกลับมาจากฝรั่งเศส   น้องๆจะถามว่า  หลวงพี่ๆ  ฝึกได้ขั้นไหนแล้ว  หลวงพี่เล่าแล้วก็ยิ้มๆ     ข้าพเจ้าว่าหลวงพี่ท่านคงไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรเหมือนกัน 

 

ในทางเถรวาทก็เช่นเดียวกัน  หมู่ผู้ปฎิบัติธรรมหลายคนมักจะถูกถามกันว่า   ถึงไหนแล้ว  และผู้ถามมักจะเป็นคนรู้จัก แต่ไม่ได้มาปฎิบัติด้วย  ทว่าอยากรู้    ส่วนใหญ่มักจะถามว่า   ได้ขั้นไหนแล้ว  เห็นอะไรบ้าง จะเป็นโสดาบันรึยัง   ??  พอพวกเราส่ายหน้า  พวกเขาก็ทำท่าแปลกๆ   ข้าพเจ้าคิดปรุงแต่งในใจว่า   พวกเขาอาจจะคิดเห็นไปว่า  เห็นไหม๊ล่ะ   ฉันว่าแล้ว  คนพวกนี้ไม่ได้อะไรจริงๆ   แถมดูเพี้ยนๆด้วย  "

ข้าพเจ้าแอบคิดเล่นๆว่า   พวกเขาอาจจะพอใจกัน  ถ้าเราบอกว่า  นี่ฉันได้ฌานขั้นสูงแล้วนะ     เมื่อคืนฉันเหาะกลับบ้าน   ส่วนวันก่อนฉันก็ไปเยี่ยมญาติที่นรกขุมหนึ่ง   และวันโน้นฉันก็สามารถรู้วาระจิตของยายคนนั้นว่าเขาคิดด่าว่าเธอในใจอย่างไร     และเดี่ยวนี้ฉันเดินบนผิวน้ำได้แล้วล่ะ      ข้าพเจ้าเข้าใจว่า พอได้ยินดังนั้น คนหมู่หนึ่งคงจะรีบวิ่งเข้าวัด ไปพากเพียรปฎิบัติธรรม  ด้วยหวังผลอะไรบางอย่าง    อย่างน้อยเผื่อจะได้รู้ว่า  หวยงวดหน้าออกอะไร   จะได้ร่ำรวยกัน เสียที

   แต่การที่เราผู้ปฎิบัติต่างบอกว่า  ก็งั้นๆ แหละ  ยังโกรธอยู่เลย  วันก่อนก็ยังเผลอไปด่าคนโน้น ตำหนิคนนี้  แถม ยังเห็นจิตของตนที่มีโลภะ โทสะ  โมหะ อยู่ครบถ้วนดี    และ ที่สำคัญยังเหาะไม่ได้   ยังไม่มีฤทธิ์มีเดชอะไร  ไปไหนๆ ก็ ยังเดินไปเดินมาบนพื้นโลกนี่แหละ   พวกเขาเหล่านั้นก็เลยออกอาการเซ็งๆไปตามระเบียบ

 

จะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่า  วิถีแห่งการใช้ชีวิตแบบสามัญธรรมดา และมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวนั้นมีปาฎิหาริย์แค่ไหน   การดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะตลอดเวลา  โดยไม่วิ่งกลับไปยังอดีต  ไม่ไปกังวลถึงเรื่องในอนาคตนั้น มันสำคัญอย่างไร ...  เพราะสิ่งนี้คือหลักสำคัญในการใช้ชีวิตแบบโลกๆ   และไม่ทำให้เราหลงโลกด้วย  เราจะเกิด ความสุขสงบจากภายใน  เราจะได้พบเห็น ความงดงามของธรรมชาติที่แท้จริง    ได้รับรู้อย่างลึกซึ้งถึงความงดงามของสรรพสิ่ง  นี่ คือความสุข ความสวยงามง่ายๆ  ที่เราได้รับโดยไม่ต้องซื้อหา    ไม่ต้องวิ่งไปทางไหน  ไม่ต้องลงแรงลงทุนอะไรเลย    ขอเพียงแต่หยุดวิ่งแสวงหาอะไรต่อมิอะไรเสีย   แล้วกลับมาเพียรพิจารณาดูกายและใจของเราเองเท่านั้น   เมื่อเรามองเห็นกายและใจด้วยความเป็นจริง  เราก็จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงด้วย

 

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว  แม้จะเป็นการเริ่มต้นก้าวเดินบนหนทางที่ดูธรรมดาสามัญสายนี้     แต่ข้าพเจ้าพบว่าเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ และงดงาม    

 

 แม้ข้าพเจ้าจะไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หรือเดินบนผิวน้ำได้    แต่ข้าพเจ้าเริ่มสัมผัสรับรู้อย่างชัดแจ้งดังที่หลวงปู่ติช  นัท  ฮันห์  กล่าวไว้  ...    การเดินบนพื้นโลก นั้น  คือ ..ปาฎิหาริย์   ( จริงๆ ) .

 

หมายเลขบันทึก: 276477เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2009 16:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สาธุครับ

ผู้ถามถามเพราะความอยากรู้อยากเห็น

แต่ผู้ปฏิบัติก็คงต้องมีเป้าหมาย

แต่ไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็น

คอยมีสติ รู้กาย รู้ใจ

ถ้ามีใครถามว่าบรรลุหรือยัง

มือใหม่อย่างผมก็คงยิ้ม และ อาจตอบว่า มีความสุขดีกับปัจจุบันขณะครับ และ อย่าสงสัยเลย ลองปฏิบัติดูแล้วจะได้คำตอบที่ใครก็ไม่อาจตอบแทนได้

มาสวัสดีครับ

วันหยุดนี้เสาร์-อาทิตย์มีกิจกรรมอะไรบ้างหรือเปล่าครับ

ผมไม่ได้ไปไหนครับ...

สวัสดีค่ะพี่ยา

ช่วงนี้รู้สึกแย่จังไม่ค่อยอยู่กับปัจจุบันเท่าไหร่เพราะใจวิ่งกลับสู่อดีตที่ยึดติดเสมอๆ ดูไม่ทัน และมันไม่เป็นกลางเอามากๆ จนส่งผลกับคนข้างตัวคือแม่เลยค่ะ เพราะเรามีแต่ความไม่ชอบใจ ทุกขณะจิต ไอ้ที่ว่าเห็นข้อดีของการเปลี่ยนแปลงในที่ทำงานใหม่ เพื่อฝึกจิตฝึกใจ ไม่ติดในอัตตา ก็จริงๆนั่นแหละ แต่ทุกข์จัง ก็ดูๆกันไป เมื่อเช้าถึงขนาดทำให้แม่ทุกข์ เพราะเรานิสัยไม่ดีเลย บาปจริงๆ

คิดถึงค่ะ

วี

สวัสดีค่ะคุณ Phornphon

ขอบคุณที่แวะเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกันค่ะ

น้อง kmsabai

วันหยุด เสาร์ อาทิตย์นี้ ไม่ได้ไปไหนค่ะ  แต่อยู่เวร Oncall consult ค่ะ   ส่วนวันศุกร์นี้  สังฆะของ รพ. จะมีภาวนาด้วยกันตอนเที่ยงครึ่งถึงบ่ายโมงครึ่ง  ค่ะ  แล้วจะมีสนทนาธรรมกันด้วย

ส่วนต้นเดือนหน้า รพ.จะมีอบรมสุนทรียสนทนาค่ะ  โดยทีมงานจากสถาบันขวัญแผ่นดิน  เห็นว่าพี่ชวนชื่น จะโทรไปชวนท่านสมคบมาอบรมด้วยกัน  ไม่แน่ใจว่าได้คุยกันหรือยังนะ  ยังไงฝากเชื้อเชิญด้วย 

อ้อ เดือนนี้ทางสังฆะของ  รพ . ว่าจะนิมนต์หลวงพี่จากวัดดอยกิ่วขมิ้น มานำภาวนาและสนทนาธรรมค่ะ แต่ยังไม่ได้กำหนดวัน 

อย่างไรก็ดี  ถ้าน้องมีโอกาสมาในเมือง ว่าจะชวนไปกราบท่านด้วยกัน ไปสนทนาธรรมกับท่านได้ค่ะ

น้อง V.

วันนี้วันพระ พี่เพิ่งไปวัดบ้านใหม่กลับมา  ไปทำวัตรเย็น แล้วก็นั่งสมาธิค่ะ  ไปกับบรรดาแกนนำของสังฆะ รพ.  

เรื่องของเรื่องคือคิดถึงที่นี่ใช่ป่ะ  ใจเลยไม่ได้อยู่ที่นั่นแต่มักจะวิ่งมาที่นี่  ที่เดิมๆ ที่เราคุ้นเคย  กลับมาสู่อดีต  แฮะๆ  เมื่อไม่อยู่ในปัจจุบัน เราจึงไม่สุขสบาย  ก็อย่างหลวงพี่เพทายว่าไง  เราไปยึดอยู่กับความสุขเดิมๆ ที่เป็นอดีตไปแล้ว  

ครูบาอาจารย์ท่านว่ากัน  ขนาดเป็นพระ ท่านก็ไม่ให้ติดที่อยู่  ต้องให้ย้ายกุฏิเป็นช่วงๆ   เราผู้ไม่ใช่พระ จึงเป็นธรรมดาย่อมติดที่เดิมๆ  น่ะ

หลายปีก่อนตอนที่พี่ย้ายที่ทำงานใหม่  ไปอยู่ รพ.ใหญ่ๆ และวุ่นวายมาก  ปรับตัวก็ยังไม่ได้  พอได้อ่านหนังสือของหลวงปู่ติช ที่ชื่อ ปาฎิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ   หลังจากนั้นไม่ว่าจะทำอะไร  พี่จะทำให้เหมือนกำลังทำพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่าง ตามหลวงปู่ว่า  แม้กระทั่งนั่งขัดล้างห้องน้ำ   พี่ก็จะขัดถูกระเบื้องห้องน้ำไปทีละแผ่นทีละแผ่น  สนใจอยู่แต่งานการล้างห้องน้ำที่ทำอยู่   ทำไปทำมาเลยเพลิน  ความไม่สบายใจหายไปตอนไหนก็ไม่รู้   หลักการของ ปัจจุบันขณะ ช่วยได้จริงๆ นะ.

จริงๆ นั่นแหละที่คิดถึงรพ.ศว. สุดๆ ตอนนี้มีความสุขเฉพาะตอนตรวจคนไข้จริงๆ เวลาไม่มีอะไรที่เป็นงานการ (ที่คิดว่าเป็นงานการ)ทำ ก็จะเบื่อ เพราะไร้จะอยู่ที่ไหน ถ้าบ้านพักอยู่ในส่วนของรพ.ก็คงดี ตอนนี้ มีหน้าที่อย่างเดียว คือ วิ่งหางานเวลา เห็น OPD คนไข้เยอะๆ จะดีใจมากวิ่งไปตรวจ แล้วก็อ่านหนังสือธรรมะ ตามประสาไปค่ะ ดูกายดูใจ เป็นระยะ(ห่างๆ)จ้ะ สังเกตว่าวันๆ ดูไม่ถึง 10ครั้งเลย น้อยกว่าตอนอยู่ศว. ที่มีงานมากมายทำ ก็ยังเห็นว่าดูกาย ดูใจได้บ่อยกว่าด้วยซำค่ะ

วี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท