จงเบิกบาน และรู้จักอ่อนโยนกับชีวิต


การได้พบเจอใครสักคนหนึ่ง  บางครั้งก็มีเหตุและปัจจัยหลายๆอย่าง  แม้กระทั่งเรื่องของการได้พบกับธรรมาจารย์ก็เช่นเดียวกัน   เดือนตุลาคมนี้ทางสังฆะของโรงพยาบาลได้มีโอกาส จัดงานภาวนาเล็กๆ ที่ชื่อว่า  ภาวนาเพื่อการตื่นรู้ 2  โดยมีหลวงพี่พิทยา มาเป็นธรรมาจารย์ อีกครั้ง  นี่เป็นเรื่องที่เราทั้งหลายต่างดีใจมาก    

เบื้องแรกเราต่างไม่แน่ใจนักว่า  หลวงพี่จะมีเวลามากมายแค่ไหน  ในการมาเยือนเมืองเล็กๆแห่งนี้   แถมที่ผ่านมาเราหลายๆคน ไม่ได้คิดหวังว่าท่านจะมีโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้งด้วยซ้ำ  เพราะจากสถานที่เราอยู่ และสถานที่ที่ท่านอยู่   เวลา  และ โอกาสต่างๆ  ที่ควรจะเป็นไป  ดูจะหาเหตุและปัจจัยไม่ค่อยได้เอาเลยว่า  ผู้คนในเมืองเล็กๆแห่งนี้  จะได้มีโอกาสภาวนาตามแนวทางของหมู่บ้านพลัม กับศิษย์ของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์อีกครั้ง 

 ตอนที่ได้รับทราบว่า หลวงพี่พอจะมีเวลาช่วงสั้นๆ ในการมาเยือนเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน 3 – 4 วัน  ข้าพเจ้าก็แจ้งกับแกนนำสังฆะถึงเรื่องนี้   ข้าพเจ้าเห็นรอยยิ้ม และสีหน้าอาการแสดงความดีใจกันเป็นอันมาก  หลายคนบอกว่า แค่นึกถึงใบหน้าหลวงพี่และรอยยิ้มของท่านก็รู้สึกเป็นสุขแล้ว

การที่เราได้พบหลวงพี่ครั้งนี้   มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น   ทำให้สังฆะเราได้พบกับโอมและแอ้  ซึ่งเป็น Staff อาสาของหมู่บ้านพลัม  โดยที่ทั้งสองได้เดินทางมาเยือนแม่ฮ่องสอนด้วย   นี่เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  เพื่อจัดงานภาวนาเล็กๆ ในโรงพยาบาลเรา  แถมเกิดความรู้สึกผูกพันธ์กันมากมายขึ้น

แม้ว่าการจัดงานภาวนาจะมีเวลาเตรียมตัวไม่มากมายนัก แต่เราต่างก็พยายามอย่างเต็มที่และมีความเบิกบานใจกันมากๆ  

อีกทั้งหลวงพี่พิทยา กลายเป็นระฆังแห่งสติของสังฆะเราไปแล้ว เมื่อนึกถึงท่านเราทั้งหลายก็จะนึกถึงความเบิกบานและการกลับมาใช้ชีวิตให้ช้าลง  และรู้จักที่จะกลับมามีชีวิตอยู่ด้วยความสุขในปัจจุบันขณะมากขึ้น

และก็เป็นดังเช่นในครั้งก่อน หลายๆ คนที่นี่ประทับใจในธรรมะบรรยายของหลวงพี่ แถมประทับใจใน ความอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน  ประทับใจในความอ่อนโยนและความเบิกบานของท่าน

ในการบรรยายธรรมท่านกล่าวสอน  ถึงเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตนว่า  การมอบดอกบัวให้แก่กัน  ( การไหว้ซึ่งกันและกัน) เป็นการฝึกให้เรามีความอ่อนน้อม  และการไหว้นั้นควรเป็นการไหว้ด้วยใจที่แท้จริง  ไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่  จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะเป็นพระหรือฆราวาส  เราไหว้เขาด้วยความเคารพ ไหว้ในความเป็นพุทธะที่มีอยู่ภายในตัวเขาเหล่านั้น 

การอยู่อย่างเกื้อกูลกัน และเคารพในสรรพสิ่งทั้งหลายยังเป็นประเด็นที่ท่านเน้นย้ำ  แม้กระทั่งความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาในชีวิต ก็คือสิ่งที่เราควรจะขอบคุณ เพราะการปรากฎขึ้นของความทุกข์   ทำให้เรารู้ถึงคุณค่าของความสุข

 

ท่านกล่าวทำนองว่า เราไม่ควรปฎิเสธความทุกข์ที่เกิดขึ้น  แล้วเอาแต่ความสุขเพียงประการเดียว  อันที่จริงแล้วเราควรจะเข้าใจความทุกข์ และรับรู้มันอย่างแท้จริงด้วย  ไม่ใช่ไปวิ่งหนี เพราะความทุกข์ทั้งหลายนั้น  สักวันหนึ่ง มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความสุขได้  ดังเช่น ดอกบัวเมื่อเริ่มต้นมันก็เกิดในโคลนตม    เราจึงควรขอบคุณการมีโคลนตมเพราะมันทำให้มีดอกบัวเกิดขึ้นมา

เมื่อข้าพเจ้าถามหลวงพี่ว่า  ในทางเถรวาท  มักจะสอนให้เราทั้งหลายเห็นภัยในความทุกข์  และเน้นย้ำเสมอว่า  ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น  ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่  ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป  แต่ในแนวทางของเซนมหายาน แบบหมู่บ้านพลัม เน้นที่การตื่นรู้และเบิกบาน จะเป็นการทำให้เราติดสุข และฟูฟ่องไปหรือไม่  ท่านก็ตอบว่า เราไม่ได้ให้ปฎิเสธทุกข์ แต่ให้มองความทุกข์อย่างเข้าใจ  และเข้าใจในด้านบวก เพราะความทุกข์ความสุขเป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิต  เราจึงต้องเข้าใจทั้งสองด้าน   เมื่อเริ่มต้นเดินในแนวทางนี้  เราอาจจะดูเหมือนมีความเบิกบานและมีความสุขจนดูเลยเถิด แต่ในที่สุดเราจะเข้าใจว่า มันเป็นธรรมดา ๆ  เช่นนั้นเองเหมือนกัน  เพราะ  ถึงที่สุดแล้ว ความสุขกับความทุกข์ ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลย มันปรากฏขึ้นมา  แล้วในที่สุดก็หายไปเหมือนๆกัน  เพราะทุกๆ สิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงเสมอ  

หลวงพี่บอกว่ามีหลายๆคนที่เข้าสู่เส้นทางการปฎิบัติสมาธิภาวนา  พยายามที่จะทำตัวแตกต่างไปจากเดิม เวลากินก็ต้องบอกตัวเองว่าไม่อร่อย  เพราะถ้าติดความอร่อยก็จะเหมือนยังมีกิเลสอยู่  เห็นอะไรสวยก็พยายามคิดว่าไม่สวย  เพราะกลัวว่าจะเป็นการติดการยึด  ท่านถามว่า  จริงๆแล้วในจิตในใจเรา เห็นว่ามันไม่สวย มันไม่อร่อยจริงๆ หรือเปล่า??   คงเป็นแต่สมองเท่านั้นรึเปล่าที่คอยบอกว่ามันไม่สวย มันไม่อร่อย แต่จิตเรายังยึดยังติดอยู่  นี่เป็นการกดและข่มอารมณ์ต่างๆไว้ ต่างหาก  แล้วเราก็จะมีความทุกข์ในการภาวนา  เมื่อเราภาวนาแล้วเกิดความทุกข์ เราอาจจะต้องมาพิจารณาใหม่ว่า  เรามาถูกทางหรือเปล่า ?

ในผู้ปฎิบัติสมาธิภาวนา  เมื่อข้ามฝั่งได้ ก็ควรจะรู้จักทิ้งแพ ไม่ควรแบกหามมันไปด้วยอีก  เช่น การมีศีล เป็นเบื้องต้นของการดำเนินในวิถีนี้  เราควรจะมีศีลเป็นบาทฐานให้เรายึดถือปฎิบัติ  แต่เมื่อไปถึงจุดหนึ่งแล้ว เราไม่จำเป็นต้องแบกมันไปด้วย  นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องมีศีลกันอีกต่อไป  แต่ศีลมันได้อยู่ในเลือดในเนื้อของเราแล้ว ต่างหาก

โอม บอกว่า ในงานภาวนานี้เราสามารถขอให้หลวงพี่บรรยายธรรมในหัวข้อที่เราสนใจ หรือสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้  ข้าพเจ้าเลยเรียนท่านในวันหนึ่งว่า   การทำงานในโรงพยาบาล  เจ้าหน้าที่ทั้งหลายนั้น  มีความทุกข์จากการทำงานมากมายหลายอย่าง งานที่มากมายและอะไรๆ ที่เป็นอยู่ทำให้เราวิ่งไปข้างหน้ากัันไม่หยุด   และมีความเครียดอยู่ภายใน จึงอยากให้หลวงพี่บรรยายธรรมเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ทำอย่างไรเราจะมีความสุขกับการทำงานและการใช้ชีวิต และไม่เครียด หลวงพี่จึงเริ่มต้นการบรรยายธรรมในวันแรกด้วยหัวข้อ  “ หยุด.. ยิ้ม .. สัมผัสความหอมของดอกกาสะลอง “   แถมท่านเก็บดอกกาสะลองที่ข้าง ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเรา   มาประกอบการบรรยายธรรมด้วย 

การได้พูดคุยกับหลวงพี่ในช่วงเวลาต่างๆ ในงานภาวนานี้ ข้าพเจ้าเข้าใจวิถีของท่านอย่างแจ่มชัดขึ้น การพบท่านในครั้งนี้ท่านกล่าวอย่างชัดเจนว่า   เมื่อใดก็ตามที่เราได้หลุดพ้นจากกรอบอะไรๆ  เราจะรู้สึกเป็นอิสระมาก และเบาสบาย   และท่านก็รู้สึกเช่นนั้นอยู่ ดูเหมือนว่าท่านไม่จำเป็นต้องใช้อะไรเป็นระฆังแห่งสติอีกแล้ว เพราะสติคือสิ่งที่ดำรงอยู่กับท่านตลอดเวลา   ไม่ว่าจะเป็นการยืน การเดิน การพูด กายและจิตของท่านอยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริง  เมื่อเราทั้งหลายอยู่ที่นั่นตรงนั้นต่อหน้าท่าน  ท่านก็อยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริงกับเรา และไม่เคยจากไปไหนเลย  การแสดงธรรมของท่านจึงไม่ได้แสดงผ่านการพูด การสอน การฝึกในห้องภาวนา แต่ประการเดียว   แต่ท่านแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา ผ่านการกระทำต่างๆ ของท่านให้เราได้เห็น

ความอ่อนน้อม   ความอ่อนโยน  ความเบิกบานอย่างแท้จริง      ที่ปรากฏ ออกมาจากตัวท่านนั้น  ได้กลายเป็นสิ่งที่หลวงพี่สอนออกมาโดยไม่ต้องพูด   แถมจากการกระทำนั้น ได้เตือนให้เรารับรู้และมองเห็นว่า เราควรรู้จักมีความเบิกบาน  รู้จักมีความอ่อนโยนต่อชีวิต  ต่อร่างกาย ต่อจิตใจเรา 

และความสุขของเราทั้งหลายนั้น  คือความสุขที่อยู่ในปัจจุบันขณะ  ไม่ใช่ที่อดีตและอนาคต  เนื่องจากว่า สิ่งที่เราจับต้องได้อย่างแท้จริง คือปัจจุบันขณะเท่านั้น

ข้าพเจ้าพบเจอหลวงพี่มาตั้งแต่สองปีก่อน  เมื่อครั้งที่กลุ่มสังฆะพลัมน้อย ได้เริ่มก่อเกิดขึ้น  และพบท่านอีกครั้งในงานภาวนากับหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ตอนที่หลวงปู่มาเมืองไทย   และอีกสองสามครั้งในงานภาวนากับสังฆะพลัมน้อย    เบื้องต้นข้าพเจ้าอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับท่านนัก เพราะการสนทนากับพระเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่ และมีความลำบากใจเป็นอย่างยิ่งในการใช้ศัพท์แสงต่างๆ   แต่การได้พบท่านแต่ละครั้งนั้น  ทำให้เกิดความคุ้นเคยกับท่านมากขึ้นเรื่อยๆ   ทั้งข้าพเจ้ามองเห็นเหตุและปัจจัยหลายๆอย่างของหลวงพี่  ที่มีความสำคัญในการน้อมนำใจผู้คน ให้เข้าสู่หนทางแห่งการทำสมาธิภาวนา   

เพราะหลวงพี่เปิดกว้างและยอมรับสิ่งต่างๆ  อย่างเข้าใจ ท่านเปิดใจในการเรียนรู้อยู่เสมอกับทุกผู้คนที่ได้พบ    ทุกครั้งที่พบท่าน ข้าพเจ้าเห็นถึงความลึกซึ้งในธรรมที่ท่านแสดง  และมันก็ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านมีความเบิกบานและมีความเป็นอิสระจากกรอบต่างๆ แถมมีพื้นที่มากมายสำหรับทุกๆคน ทำให้ใครก็ตามที่ได้พบเจอกับท่าน  รู้สึกสบายใจและรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านที่อบอุ่น

และการพบเจอหลวงพี่พิทยาในครั้งนี้  ท่านกลายเป็นระฆังแห่งสติ ทำให้เราทั้งหลายรู้จักหยุดคิดหยุดวิ่งไปในอนาคต หยุดกังวลไปกับเรื่องในอดีต  แล้วกลับมาอยู่ในปัจจุบันขณะ.. ให้รู้จักเบิกบาน และรู้จักอ่อนโยนกับชีวิต ….

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #เซนมหายาน
หมายเลขบันทึก: 307286เขียนเมื่อ 21 ตุลาคม 2009 06:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

พี่ยาบอกว่าได้มีโอกาสเข้าร่วมภาวนาครั้งนี้น้อยมาก แต่พี่ยาเก็บเกี่ยวเนื้อความจากการภาวนามาให้เราได้อ่านอย่างมีความสุขได้อีกเช่นเคย ^_^ หลวงพี่ได้อ่านแล้วจะเขินไหมนี่ ฮิฮิ ... ใช่แล้วค่ะพี่ยาเราก็รู้สึกเช่นกันเมื่อได้พบปะกับหลวงพี่ ความเบิกบานเกิดได้จริงๆ และมันยังรู้สึกได้อยู่เนืองๆ ทุกอิริยาบถของท่าน

ธรรมะของหลวงพี่ก็ไม่ธรรมดาอีกแล้ว เหมือนมันเข้าเนื้อเข้าหนัง ของหลวงพี่จริงๆ ทุกสายไหลมาที่เดียวกัน แนวทางเหมือนกันจริงๆ สาธุจ้ะ

เบิกบาน เบิกบาน .... ^_^

สวัสดีค่ะ

ดีใจมากค่ะที่เจอหมอโดยบังเอิญมากเลยสงสัยจะถึงเวลาที่เราต้องมาเจอกันหลังจากหายไป1ปีเต็มกับประสบการณ์ต่างๆๆที่มีมาในชีวิตเรากุ้งดีใจมากๆๆค่ะเลยรีบมาเขียนเพิ่งทราบว่าหมอย้ายไปแล้วซึ่งก็เป็นจริงดังที่เคยคิดเล่นๆๆไว้เพราะหมอคงจะต้องมีทางเดินของตนเองเช่นเดียวกันกะคนอื่นทั่วไปค่ะตอนนี้กุ้งมาอยู่ที่สมุยกะสามีส่วนลูกชายอยู่เชียงใหม่เพราะที่นี่ค่าเล่าเรียนแพงเหลือเกินไม่เหมือนอยู่เชียงใหม่ที่นี่บางครั้งกุ้งลืมไปนึกว่าอยู่ตปท อิอิเพราะมีแต่ชาวต่างชาติทั้งนั้นค่ะกุ้งทำงานที่รพกรุงเทพสมุยเป็นหัวหน้าแผนก ไอซียูค่ะส่วนสามีเปิดร้านคอมเล็กๆๆค่ะอยู่กันสองคนสบายใจดีคนไข้เป็นต่างชาติทั้งนั้นจนตอนนี้ด่าฝรั่งเป็นภาษาอังกฤษได้แล้วหมอสบายดีนะคะกุ้งสบายกายแต่ส่วนจิตใจก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ตอนนี้ต้องอ่านธรรมะสัญจรเป็นหนังสือติดตัวอ่ะค่ะในรูปข้างบนสวยนะคะไม่ทราบว่าที่ไหนดูแล้วสบายตาดีค่ะ

อยากไปอยู่แบบนั้นบ้างจังถ้ามีโอกาสค่ะ

กุ้งค่ะ

น้องวี

ในช่วงที่มีงานภาวนาคิดถึงวีจริงๆ  หลวงพี่ก็ถามถึงด้วยว่า ไปอยู่ที่ไหนอย่างไร 

เป็นช่วงเวลาที่ดีๆ อีกครั้งของผู้คนแถวๆนี้  ที่ได้มีโอกาสภาวนาเพื่อบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความอ่อนโยน  เบิกบาน  และทำให้ก่อเกิดความรักความเข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลาย  ถ้าหลวงพี่ได้มีโอกาสอ่านบทความนี้ คงต้องกราบขอบพระคุณหลวงพี่อีกหลายๆครั้ง ที่ให้เวลาและโอกาสแก่คนเมืองสามหมอก 

การได้พบหลวงพี่คือการได้กลับบ้านที่อบอุ่นจริงๆค่ะ 

" In gratitude  you  have  watered seeds of  love in  me  in gratitude

   in  gratitude  I will water seeds of  love  in  someone too..  "

 

 

ถึงกุ้งจัง

คิดอยู่เสมอว่า จะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่ ?   แถมตอนนี้เราอยู่ห่างกันมากกว่าเดิมอีก  แต่รู้แล้วล่ะว่า  ถ้าได้ไปแถวๆ สมุยจะแวะไปหาใคร  ^  - ^

ดีใจที่พบกัน แม้จะผ่านทางตัวหนังสือ ผ่านทาง Blog. นี้   รูปข้างบน  เป็นวิวทิวทัศน์ของเมืองสามหมอกจ้า  ที่มีทะเลสาบสวยๆ คือที่ ปางอุ๋ง  ตอนนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวฮิตติดอันดับของที่นี่ 

 

 

 

หมอคะ

ว่างๆๆแวะมาสมุยนะคะเปลี่ยนบรรยากาศบ้างทะเลสวยมากค่ะส่วนกุ้งไม่รู้ว่าจะได้ไปแม่ฮ่องสอนเมื่อไหร่เหมือนชีวิตเพิ่งเริ่มต้นเลยค่ะ5555

ธรรมสวัสดีจ๊ะ ทั้งพี่ยาที่เขียนบทความนี้ และผู้อ่าน

หลวงพี่ก็อยู่ตรงนั้นด้วยเสมอ รู้สึกเบิกบานด้วยทุกครั้งเช่นเดียวกันที่ได้เจอพี่ๆ น้องๆ ทุกคนช่วย

ให้หลวงพี่ได้ปฏิบัติและอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุข ไม่มีพี่น้องก็จะไม่มีหลวงพี่อยู่ในวันนั้น พี่น้องก็ยังคงอยู่ตรงนี้กับหลวงพี่ด้วยเช่นเดียวกัน ขอบคุณที่ให้โอกาสอันมีคุณค่า

นมัสการหลวงพี่พิทยาค่ะ

ขอบพระคุณหลวงพี่มาก ..  ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น การมาเยือนเมืองสามหมอกของหลวงพี่ ได้ก่อเกิดแรงบันดาลใจหลายๆ อย่างแก่สังฆะที่นี่  และพวกเราจะสืบเนื่องการปฎิบัติกันต่อไปค่ะ 

 ทุกครั้งเมื่อพวกเราที่นี่กลับมาสู่ลมหายใจและรอยยิ้ม  ก็รู้สึกอยู่เสมอว่าหลวงพี่ไม่ได้จากไปไหน   ยังอยู่ที่นี่กับพวกเราเช่นกันค่ะ  ^ - ^

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท