ผมเข้าไปอ่านบทความใน พบกันทุกวันอังคาร ทรรศนะของเลขาธิการ กพฐ. คุณหญิง ดร. กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ใน http://www.obec.go.th ฉบับวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ท่านเลขาได้เล่าเรื่องที่น่าสนใจประการหนึ่ง(จริง ๆ แล้ว บทความของท่านเลขา จะให้ความรู้ ข้อคิดกับโรงเรียนหรือผู้เกี่ยวข้องอย่างมากมาย ทุกสัปดาห์ ซึ่งผมเอง ก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนลัด ด้วยการแอบเข้าไปอ่านทุกสัปดาห์) ที่เห็นว่าควรนำมาขยายความ
บทความฉบับดังกล่าว ท่านเลขาฯ ได้เล่าเรื่อง การไปดูงานด้านการศึกษาที่ประเทศอังกฤษ โดยบอกว่า อังกฤษกำลังเน้นการพลิกโฉมโรงเรียนโดยปรับให้เป็น “Academy” คือ โรงเรียนที่มีความเป็นอิสระ แต่ก็ต้องมีความรับผิดชอบในตนเอง ปัจจุบันมีประมาณ 40 กว่าแห่ง และมีเป้าหมายจะขยายเป็น 400 กว่าแห่ง ในอีก 3-4 ปี ข้างหน้า
ในหลักการ โรงเรียนที่เป็น Academy จะเคยเป็นโรงเรียนที่มีปัญหา (Failing school) และได้รับการปรับปรุงใหม่ จะมี Board บริหาร และ Sponsor สนับสนุนร่วมกับรัฐบาล โดยจะมีอิสระในการกำหนดหลักสูตร การเรียนการสอน บรรจุแต่งตั้ง บริหารบุคลากรทุกระดับ บริหารอาคาร สถานที่ โรงเรียนสามารถหารายได้จากทรัพยากรได้ รัฐบาลจะสนับสนุนงบลงทุนตามที่วางแผน 3 ปีร่วมกัน โรงเรียนจะต้อง ดูแล ผลักดันให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ตามที่ตกลงกับรัฐบาล
ประเด็นที่น่าสนใจในบทความ คือ เรื่อง “กระบวนการรับเด็ก” ของ Academy หลังจากการปรับปรุงโรงเรียนจนมีกระแสตอบรับอย่างดีแล้ว(มีชื่อเสียงพอสมควรแล้ว) การคัดเลือกเด็กเข้าเรียน ไม่ได้เลือกคนเก่งที่สุด จะเลือกตามระบบ Banding คือ แบ่งนักเรียนตามคะแนน เป็น 5 กลุ่ม หรือ 5 Bands คือ A,B,C,D และ E และเลือกจากทุกกลุ่มๆ ละ 20% เพื่อจะได้นักเรียนที่คละกัน ซึ่งการคัดเลือกเด็กตามแนวนี้ จะทำให้ มีเด็ก เก่งมาก เก่ง ปานกลาง อ่อน และ อ่อนมาก ในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน
อ่านบทความนี้แล้ว เห็นว่า วิธีการรับเด็กของโรงเรียน ดังแนวทางข้างต้น เป็นวิธีการที่ท้าทายความสามารถของครูเป็นอย่างยิ่ง ครูจะต้องเก่งในการสอนเด็กกลุ่มคละความสามารถ ครูจะต้องเก่งในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กเรียนอ่อน(ครูจะต้องเกรด A อย่างแท้จริง) ซึ่งแตกต่างจากการคัดเลือกเด็กแบบสอบแข่งขันคัดเอาเฉพาะคนเก่งทั้งหมด เข้าไปไว้ในโรงเรียนเดียวกัน การสอนเด็กเก่งทั้งหมด หรือเด็กเก่งเป็นส่วนใหญ่ น่าจะง่ายกว่า การสอนเด็กแบบคละความสามารถ.....อ่านแล้ว อยากให้โรงเรียนที่มีชื่อเสียง ทดลองนำไปปฏิบัติบ้าง อาจพบมุมมองในการสอนที่แตกต่างจากในปัจจุบันก็เป็นได้
การสอนเด็กเก่งทั้งหมด หรือเด็กเก่งเป็นส่วนใหญ่ น่าจะง่ายกว่า การสอนเด็กแบบคละความสามารถ.....
- เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ในเมื่อเราทดลองอะไรต่างๆสารพัดแล้วยังหาคำตอบสุดท้ายไม่ได้วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสม
- ผมจำคำสอนของอาจารย์ที่ว่า ถ้าเด็กเกรด A ครูเกรดอะไรก็สอนได้เพราะเด็กมีความพร้อมอยู่แล้ว ดังนั้นการพัฒนาเด็กเกรด A เหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่ถ้าเราใช้การคละเด็กมายู่ร่วมกัน การพัฒนาเด็กจะมีหลายมิติมากกว่า
- ปีใหม่รักษาสุขภาพนะครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์
รักษาสุขภาพนะคะ อาจารย์ (พี่ชาย)
เห็นด้วยในการคละเด็กเข้าโรงเรียน
แต่ไม่เห็นด้วยในการคละเด็กในชั้นเดียวกันที่มีความสามารถต่างกันค่ะ
เพราะเคยเจอกับตัวเอง ทนรอคนที่เรียนช้า ไม่ไหว จนอยากจะขาดเรียน
เพราะครูมัวแต่คอยดูแลคนอ่อน/ช้าอยู่นั่นแหละ
ใช้เวลาเป็นเทอม ๆ ก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่
"คบพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล"
เทียบกับการคละความสามารถในห้องเดียวกัน
"เด็กอ่อนอาจฉุดเด็กเก่งลง หรือเด็กเก่งอาจฉุดเด็กอ่อนขึ้น" จะเกิดผลอย่างไร?
จริง ๆ เด็กไม่ต่างกันเท่าไหร่
แต่สิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมเขามาตลอดต่างหากที่ทำให้เขาแตกต่างกัน
สวัสดียามเช้าค่ะ อาจารย์
ขอบคุณมากค่ะ อาจารย์ที่ได้ให้คิด และนำประสบการณ์ ออกมาพูดคุยกันค่ะ
รักษาสุขภาพนะคะ
ครูที่เก่ง Instructional Design + เมตตา คอยช่วยเหลือเด็กอ่อน + คอยเสริมเด็กเก่ง(ต้องทำงานหนัก) =A++
อาจารย์ คะ
ครูออ้ย รบกวน...เรียนเชิญ ที่ ... งานวิจัย..ส่งเสริมนักเรียนเก่งไม่ทอดทิ้งนักเรียนช้า
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ อาจารย์
คละนักเรียนแบบที่ท่านว่านั้นมันเป็นไปได้ยากมาก ใครๆก็อยากได้เด็กเก่งทั้งนั้น เขาจะเอาที่มีคะแนนมาก ที่สุดเรียงคะแนลงไป ผมอาจไม่เข้าใจก็ได้ ดรงเรียนห่งหนึ่งตอ้งการนักเรียน 400 คน แต่มีมาสมัคร 800 คน ก็ต้องประกาศ 1 - 400 คน เรียงคะแนน คนที่ 401 ก็หาที่เรียนใหม่
แต่อ่านของท่านยังจับใจความไม่ได้ เหมือนกับว่า เอา 800 คนมาแบ่งเป็นส่วนๆ เพื่อคละอย่างที่ท่านว่า คงจะถ้าทำได้ แต่ถ้าท่านมาเอา ที่ 1 - 400 มันก็แค่เอาเด็กเก่งไปคละนั่นแหละ ถามว่าเด็กที่เหลือท่านจะว่าอย่างไร ทำไงให้เก่งเหมือนเด็กชุดแรก ก้สงสารครูในโรงเรียนที่ไม่โอกาสเลือกเด็ก
สวัสดีครับ
เห็นด้วยกับความคิดแต่แบบที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมการศึกษาไทยในปัจจุบัน
บางครั้งการเริ่มต้นมีกเป็นสิ่งที่ยาก ... แต่คิดว่าถ้าเราลองแล้วทำอย่างนี้แล้วผลเกิน 50 % ก็มีความหวัง แต่ผลออกมาไม่ดีเพียงพอ คนทำงานมักจะเกิดความท้อใจ แต่ผมคิดว่า การคัดคนเก่งจริงก็คงจะดีอยู่ แต่ควรมีจุดที่ส่งเสริมนักเรียนที่ยังหลงเหลือไว้บ้างก็จะทำให้เกิดกำลังใจที่ดีขึ้นด้วย ( ยังต้องมีนโยบายส่งเสริมตรงนี้อยู่บ้าง )