ลัทธิคานต์
ผู้วิจัยจะนำเสนอความหมายและแนวคิดพื้นฐานลัทธิคานต์ด้วยคำเฉพาะในลัทธิคานต์เป็นลำดับแรก และประมวลรูปแบบคำสั่งเด็ดขาดซึ่งเป็นลักษณะเด่นของลัทธิคานต์มาแสดงไว้อีกต่างหาก เพราะมีความเห็นว่าจะทำให้แนวคิดของลัทธิคานต์ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนการนำเสนอแนวคิดเรื่องอธิกรรมในลัทธิคานต์เป็นประการสุดท้าย
1. ความหมายและแนวคิดพื้นฐาน
คำว่า “ลัทธิคานต์” (Kantianism) หรือ “จริยศาสตร์คานต์” (Kantian Ethics) คือ แนวคิด จริยศาสตร์ของ คานต์ (Kant, Immanuel) ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะได้รับการยอมรับและยกย่องกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่านักจริยศาสตร์ร่วมสมัยได้ขยายความและนำมาประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมก็ตาม แต่ยังคงยึดถือหลักการตามที่คานต์วางไว้และให้เกียรติแก่คานต์โดยเรียกว่าลัทธิคานต์หรือจริยศาสตร์คานต์ โดยแนวคิดนี้มาจากหนังสือที่เขาได้เขียนไว้เป็นภาษาเยอรมันชื่อ “Grundlegung zur Metaphysik der Sitten”[1]
ลินเด็น (Linden, Harry Van Der) ได้อธิบายไว้ว่า หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่ชัดเจนและรัดกุมที่สุดในงานวิจัยพื้นฐานทางจริยศาสตร์ของคานต์ ซึ่งยอมรับกันว่าเป็นกระบวนทัศน์ของนักเหตุผลนิยมใน จริยศาสตร์กรณียธรรม เนื้อหาของหนังสือใช้โครงสร้างพื้นฐานของกฎทางอภิปรัชญาครอบคลุมประสบการณ์ทางศีลธรรม นั่นคือ ความมีอยู่ของเหตุผลบริสุทธิ์ก่อนประสบการณ์โดยปราศจากการอ้างอิงทางจิตวิทยา ซึ่งคานต์ได้วางไว้เป็นหลักการสูงสุดของกฎทางศีลธรรม
สาระของหนังสือเล่มนี้แบ่งเป็นสามส่วน ในส่วนแรกคานต์โต้แย้งว่าเจตนาอาจเป็นสิ่งที่ดีได้โดยปราศจากความหมายเชิงคุณภาพ “เจตนาดี” (good will) คือการกระทำตามหน้าที่ ซึ่งคานต์ได้ให้ความหมายของหน้าที่และวางรูปแบบของหลักการเพื่อครอบคลุมเจตนาดีไว้ด้วย เขาเรียกหลักการนี้ว่า “คำสั่งเด็ดขาด” (categorical imperative) นั่นคือ การกระทำตาม “คติบท” (maxim) ที่ต้องการให้เป็น “กฎสากล” (universal law) เท่านั้น ในส่วนที่สองเขาได้ขยายความคำสั่งเด็ดขาดและการได้มาของรูปแบบคำสั่งเด็ดขาดนั้น และเขาได้อธิบายเรื่อง “ภาวะอิสระ” (autonomy) ของเจตนาไว้ในส่วนสุดท้าย[2]
วิทย์ วิศทเวทย์ ได้สรุปแนวคิดของคานต์ไว้ตอนหนึ่งว่า
“สำหรับคานท์ การกระทำที่ถูกคือการกระทำที่เกิดจากเจตนาดี การกระทำที่เกิดจากเจตนาดีก็คือการกระทำที่เกิดจากสำนึกในหน้าที่ การกระทำที่เกิดจากหน้าที่คือการกระทำที่เกิดจากเหตุผล การกระทำที่ตั้งอยู่บนเหตุผลคือการกระทำที่เกิดจากกฎศีลธรรม ปัญหาก็คือกฎศีลธรรมนี้คืออะไร” และได้ตอบว่า “สำหรับคานท์กฎศีลธรรมต้องมีลักษณะเป็นคำสั่งเด็ดขาด” [3]
กีรติ บุญเจือ ได้ประมวลแนวคิดเรื่องคำสั่งเด็ดขาดของคานต์ไว้ว่า
“ความสำนึกในหน้าที่จะสั่งด้วยคำสั่งเด็ดขาด ไม่เสนอเงื่อนไขหรือเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น จึงไม่ใช่คำสั่งโดยมีเงื่อนไข ซึ่งไม่ผูกมัดผู้ใดนอกจากผู้ต้องการเงื่อนไขนั้น ผู้มีเจตนาดีจะตัดสินใจกระทำตามความสำนึกในหน้าที่ทันทีโดยไม่รอชั่งดูทางได้ทางเสีย คำสั่งเด็ดขาดจะกำชับให้กระทำภายใต้หลักการต่อไปนี้ ซึ่งก็เป็นคำสั่งเด็ดขาดด้วยในตัว1) จงกระทำโดยความสำนึกว่าเป็นกฎสากล2) จงกระทำโดยความสำนึกว่า บุคคลเป็นจุดหมาย มิใช่วิถีไปสู่จุดหมายอื่น3 )จงกระทำโดยความสำนึกว่า ตนมีเสรีภาพ และมนุษย์ทุกคนต่างก็มีเสรีภาพ”[4]
จะเห็นได้ว่าการเข้าใจจริยศาสตร์คานต์อยู่ที่คำเฉพาะของเขา ดังนั้น ผู้วิจัยจะเสนอแนวคิด จริยศาสตร์คานต์ตามลำดับแห่งคำเฉพาะเหล่านี้ คือ เจตนาดี หน้าที่ คติบท กฎสากล และคำสั่งเด็ดขาด
ก. เจตนาดี
แปตัน (Paton, H.J.) ได้อธิบายเจตนาดีตามนัยลัทธิคานต์ไว้ว่า เป็นเจตนาที่ปราศจากคุณภาพและการจำกัดขอบเขต กล่าวคือ เป็นเจตนาดีในทุกสถานการณ์ เป็นความดีที่สัมบูรณ์หรือความดีที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นความดีในตัวเอง ความดีที่ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นๆ
แปตันได้ขยายความต่อว่า มิใช่ว่าเจตนาดีอย่างเดียวเท่านั้นจะเป็นสิ่งที่ดี แม้สิ่งเจริญรุ่งเรืองอื่นๆ ก็เป็นความดีในประเด็นต่างๆ ได้มากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นมิได้เป็นความดีทุกสถานการณ์ สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นสิ่งที่เลวเมื่อมีเจตนาเลว สิ่งเหล่านั้นจึงเป็นความดีที่มีเงื่อนไขหรืออยู่ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง มิใช่สิ่งที่ดีอย่างสมบูรณ์หรือสิ่งที่ดีในตัวเอง[5]
ชัชชัย คุ้มทวีพร ได้อธิบายเจตนาดีตามนัยลัทธิคานต์ไว้ตอนหนึ่งว่า
“ค้านท์เสนอว่า การกระทำที่ถูก (หรือการทำดี) คือ การทำตามเจตนาดี เขาขยายความต่อไปว่า เจตนาดี ในที่นี้มิใช่หมายความว่า มีความตั้งใจดีโดยมิได้ปฏิบัติอะไรและมิใช่การกระทำที่ก่อให้เกิดผลดีทั้งต่อตัวผู้กระทำและผู้อื่น หรือกล่าวว่า ไม่ใช่การกระทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง ถ้าเช่นนั้น (เราอาจสงสัยว่า) การทำตามเจตนาดีคืออะไร ค้านท์ตอบว่า คือ การกระทำที่เกิดจากสำนึกแห่งหน้าที่ หรืออาจจะกล่าวว่า การกระทำที่ถูก (หรือการทำดี) คือ การทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ หมายความว่า เรากระทำสิ่งนั้นโดยไม่ใส่ใจกับผลของการกระทำที่เกิดขึ้น เช่น มีผลดี-ไม่ดี กับตัวเราเองหรือผู้อื่น หรือการกระทำนั้นจะทำให้เราได้รับคำชมหรือถูกตำหนิจากคนอื่น”[6]
สำหรับคานต์สิ่งที่ดีอย่างสมบูรณ์หรือสิ่งที่ดีในตัวเองได้แก่เจตนาดีอย่างเดียว กล่าวคือ เป็นความดีที่ปราศจากเงื่อนไขโดยประการทั้งปวง ซึ่งคานต์ได้ขยายความต่อว่าเจตนาดีดังกล่าวคือความสำนึกในหน้าที่
ข. หน้าที่
คานต์ได้วางประพจน์เพื่อกำหนดหน้าที่ตามเจตนาดีไว้ 3 ประการด้วยกัน คือ
ก. การกระทำของมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีทางศีลธรรม มิใช่ว่ากระทำขึ้นจากความโน้มเอียงขณะนั้น มิใช่ว่ากระทำขึ้นจากผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เพราะเป็นการกระทำหน้าที่เพื่อหน้าที่[7]
ข. การกระทำที่เป็นหน้าที่เพื่อหน้าที่ [จะเป็นสิ่งที่] มีค่าทางศีลธรรม มิใช่จากผลลัพธ์ที่พึงประสงค์หรือการแสวงหาผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ แต่มาจากหลักการของรูปแบบหรือคติบท กล่าวคือ หลักการของการกระทำตามหน้าที่ของเราที่อาจจะเป็นได้[8]
ค. หน้าที่เป็นความจำเป็นเพื่อการกระทำจากความเคารพกฎ[9]
ผู้วิจัยมีความเห็นว่า นัยประพจน์เกี่ยวกับหน้าที่ตามที่คานต์วางไว้นี้สามารถสรุปได้ว่าการกระทำโดยเจตนาดีตามความสำนึกของหน้าที่ก็คือ การกระทำตามหน้าที่เพื่อหน้าที่ โดยหน้าที่นั้นเป็นไปตามคติบทหรือหลักการของความจำเป็นในการกระทำ
อนึ่ง คานต์ได้จำแนกหน้าที่ออกเป็น “หน้าที่สมบูรณ์” (perfect duty) กับ “หน้าที่ไม่สมบูรณ์” (imperfect duty) และ “หน้าที่เพื่อตนเอง” (duty to self) กับ “หน้าที่เพื่อผู้อื่น” (duty to others) ซึ่งประเด็นนี้ผู้วิจัยจะนำเสนอต่อไปข้างหน้า
ค. คติบท
ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายคติบทตามแนวคิดของคานต์ไว้ว่า
“คติบท ... ในจริยศาสตร์ของคานต์ หมายถึง หลักความประพฤติที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งยึดถือปฏิบัติเฉพาะตน กล่าวคือ การกระทำโดยเจตนาแต่ละครั้งย่อมเป็นไปตามคติบทอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ในการที่บุคคลละเมิดคำมั่นสัญญา ก็เพราะถือตามคติบทที่ว่า ถ้าข้าพเจ้าจะได้รับประโยชน์ ข้าพเจ้าก็จะให้คำมั่นสัญญา โดยจะไม่ทำตามคำมั่นสัญญานั้น การกระทำของบุคคลใดจะถูกต้องหรือไม่ สุดแล้วแต่ว่าบุคคลนั้นมีเจตนาที่จะให้คติบทนั้นเป็นกฎสากลได้หรือไม่”[10]
ฟิลด์แมนได้วางรูปแบบคติบทที่เรายึดถือให้เป็นกฎสากลตามแนวคิดลัทธิคานต์ไว้ว่า
(1) “เมื่อไรก็ตามที่ฉันเป็น _,ฉันจะ _” ( Whenever I am ___ , I shall ___ )
(2) “เมื่อไรก็ตามที่บางคนเป็น _, หล่อนจะ _” (Whenever anyone is__, She will __)[11]
(1) คติบทส่วนตัว จะเป็นสิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติเฉพาะตน
(2) คติบทสากล จะเป็นสิ่งที่วางไว้เป็นกฎสากล
อธิบายการตามคติบทนี้ได้ว่า การกระทำที่ถูกต้องตามนัยลัทธิคานต์ก็คือมีเจตนาที่จะให้คติบทตามนัย (1) เป็นคติบทตามนัย (2) กล่าวคือ มีเจตนาที่จะให้สิ่งที่เราทำขณะนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องกระทำอย่างนั้นด้วย
ง. กฎสากล
ฟิลด์แมนสันนิษฐานว่า แนวคิดเรื่องกฎสากลทางศีลธรรมหรือกฎศีลธรรมของคานต์มาจากแนวคิดทางอภิปรัชญา โดยคานต์ได้จำแนกกฎสากลออกเป็นสองนัย คือ “กฎสากลของธรรมชาติ” (universal law of nature) และ “กฎสากลของเสรีภาพ” (universal law of freedom) ซึ่งฟิลด์แมนอธิบายไว้ว่า
กฎสากลของธรรมชาติ หรือ กฎธรรมชาติ กฎชนิดนี้นอกจากจะบอกว่าสิ่งทั้งหลายเป็นอยู่อย่างไรแล้วยังบอกว่าสิ่งทั้งหลายจะต้องเป็นไปอย่างไรด้วย เช่น อุณหภูมิในถังแก๊สจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีความดันภายในมากขึ้นเสมอ ลักษณะนี้คานต์เรียกว่า “ความจำเป็นทางกายภาพ” (physical necessity)
กฎสากลของเสรีภาพ กฎชนิดนี้จะบอกว่าคนควรจะกระทำอย่างไรในสถานการณ์นั้น โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายมารองรับหรือเป็นคำสั่งของผู้มีอำนาจ เพราะว่ากฎชนิดนี้มิได้คล้อยตามกฎหมายหรือคำสั่งของผู้มีอำนาจเสมอไป เช่น ถ้าเราทำสัญญา ก็จงรักษาสัญญา ลักษณะนี้คานต์เรียกว่า “ความจำเป็นทางศีลธรรม” (moral necessity)
ฟิลด์แมนให้ความเห็นว่าคำสั่งเด็ดขาดของคานต์มาจากแนวคิดเรื่องกฎทั้งสองนี้[12]
ชัชชัย คุ้มทวีพร ได้อธิบายแนวคิดของคานต์ในประเด็นนี้ว่า
“ค้านท์พยายามหากฎจริยธรรมโดยการเปรียบเทียบกับกฎธรรมชาติซึ่งมีลักษณะสากล เขากล่าวว่า กฎธรรมชาติเหล่านี้เป็นข้อความทั่วไปที่ไม่เพียงบอกว่าสิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างไรเท่านั้น แต่ทว่ากฎเหล่านี้ยังบอกอีกว่าสิ่งต่างๆ ต้องเป็นไปอย่างไรด้วย ซึ่งเขาเรียกว่า ความจำเป็นทางกายภาพ เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกันค้านท์จึงเสนอว่ากฎจริยธรรม (ซึ่งบางครั้งเขาก็เรียกว่า กฎแห่งเสรีภาพ) เป็นหลักการสากลที่อธิบายว่า คนทุกคนควรทำอย่างไรในสถานการณ์หนึ่งๆ กฎเหล่านี้เป็นข้อความทั่วไปที่แสดงถึง ความจำเป็นทาง จริยธรรม”[13]
สรุปได้ว่า กฎสากลทางศีลธรรมของคานต์มาจากแนวคิดเรื่องกฎธรรมชาติทางอภิปรัชญาของเขา นั่นคือ มีความจำเป็นทางศีลธรรมที่จะต้องให้คติบทในการกระทำของเราเป็นกฎสากลเหมือนกับความจำเป็นทางกายภาพที่เป็นไปหรือจะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ความจำเป็นทางศีลธรรมที่จะต้องเป็นไปตามกฎสากลนี้เองที่คานต์เรียกว่าคำสั่งเด็ดขาด
จ. คำสั่งเด็ดขาด
ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายคำสั่งเด็ดขาดและคำสั่งมีเงื่อนไขไว้ว่า
“คำสั่งเด็ดขาด ในจริยศาสตร์ของคานต์ได้แก่กฎทางศีลธรรม อันเป็นคำสั่งที่บุคคลจะต้องปฏิบัติตาม โดยไม่มีเงื่อนไข และไม่ต้องคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าผลนั้นจะเป็นคุณหรือเป็นโทษ และไม่ว่าผลนั้นจะเกิดกับตนหรือกับผู้อื่น เพราะเป็นการทำหน้าที่ทางศีลธรรม ต่างกับคำสั่งมีเงื่อนไข (hypothetical imperative)” [14]
“คำสั่งมีเงื่อนไข ในปรัชญาของคานต์ หมายถึง คำสั่งที่ให้กระทำการโดยมุ่งจะให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งจากการกระทำนั้น เช่น ถ้าอยากให้คนไว้ใจ จงซื่อสัตย์ คำสั่งนี้ไม่ใช่คำสั่งทางศีลธรรม เพราะคานต์ถือว่า คำสั่งทางศีลธรรมนั้นเป็นคำสั่งเด็ดขาด ที่สั่งให้ทำความดีโดยไม่มีเงื่อนไข เช่น จงซื่อสัตย์ (ไม่ว่ากรณีใดๆ ) บางที่ใช้ว่า conditional imperative” [15]
แปตันได้ประมวลแนวคิดของคานต์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของคำสั่งเด็ดขาดที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการตรวจสอบและตัดสินการกระทำทางศีลธรรมไว้ว่า ผู้กระทำซึ่งเป็นสัตว์ที่มีเหตุผลจะต้องพิจารณาตัวเขาเองในสองประเด็น คือ ในฐานะเป็นสมาชิกของ “โลกทางพุทธิปัญญา” (intelligible world) และในฐานะเป็นสมาชิกของ “โลกทางประสาทสัมผัส” (sensible world)
แปตันได้ขยายความประเด็นนี้ว่า ถ้าเราเป็นสมาชิกของโลกทางพุทธิปัญญาอย่างเดียว การกระทำของเราทั้งหมดก็จะขึ้นอยู่กับหลักการของภาวะอิสระอย่างจำเป็น และถ้าเราเป็นสมาชิกของโลกทางประสาทสัมผัสอย่างเดียว การกระทำเหล่านั้นก็จะขึ้นอยู่กับกฎธรรมชาติอย่างจำเป็น แต่ตามแนวคิดของคานต์ “โลกทางพุทธิปัญญารวบรวมซึ่งพื้นฐานของโลกทางประสาทสัมผัสและกฎทั้งหลายของมันไว้อีกด้วย” ดังนั้น คานต์จึงอ้างว่ากฎควบคุมเจตนาของเราในฐานะเป็นสมาชิกของพุทธิปัญญาแล้วก็ “ควรจะ” (ought to) ควบคุมเจตนาของเราตามข้อเท็จจริงว่า เรายังเป็นสมาชิกของโลกทางประสาทสัมผัสอีกด้วย[16]
ตามแนวคิดของคานต์ที่แปตันประมวลไว้ จะเห็นได้ว่าแปตันมีความเห็นสอดคล้องกับความเห็นของฟิลด์แมน ในเรื่องที่มาของคำสั่งเด็ดขาด และสอดคล้องกับที่ชัชชัย อธิบายไว้ว่า คานต์พยายามค้นหากฎศีลธรรม (กฎจริยธรรม) โดยนำมาเปรียบเทียบกับกฎธรรมชาติ
ผู้วิจัยมีความเห็นว่าตามแนวคิดของคานต์ โลกทางกายภาพหรือโลกทางประสาทสัมผัสมีกฎธรรมชาติควบคุมไว้ แต่กฎนี้มีพุทธิปัญญาของเราซึ่งเป็นสัตว์ที่มีเหตุผลประมวลไว้ ดังนั้น พุทธิปัญญาของเราก็ควรมีกฎควบคุมเจตนาไว้ด้วยซึ่งคานต์เรียกว่าคำสั่งเด็ดขาด นั่นคือที่มาและความเป็นไปได้ของคำสั่งเด็ดขาดตามแนวคิดของคานต์ ซึ่งใช้เป็นมาตรฐานในการตรวจสอบและตัดสินการกระทำทางศีลธรรมของจริยศาสตร์คานต์
ประเด็นที่มาและความเป็นไปได้ของคำสั่งเด็ดขาดเกี่ยวโยงอยู่กับแนวคิดอภิปรัชญาของคานต์และอยู่นอกขอบเขตของการวิจัยครั้งนี้ ดังนั้น ผู้วิจัยจะทิ้งประเด็นนี้ไว้ โดยจะนำเสนอแต่เพียงรูปแบบของคำสั่งเด็ดขาดเพื่อจะทำให้จริยศาสตร์คานต์ชัดเจนยิ่งขึ้น
อนึ่ง ยังมีคำว่า “ภาวะอิสระ” ซึ่งเป็นคำเฉพาะในจริยศาสตร์คานต์ ผู้วิจัยจะอธิบายในลำดับต่อไป เพราะความหมายของคำนี้เป็นรูปแบบหนึ่งคำสั่งเด็ดขาด
ไม่มีความเห็น