R2R คืออะไร ทำไมต้องกลัว วันนี้ผู้เขียนอยากเล่าเรื่อง R2R เพื่อแลกเปลี่ยนกับผู้สนใจนะ
แนวคิดของ R2R ( อาร์ ทู อาร์) เป็นคำย่อมาจากคำว่า Routine to Research เกิดขึ้นครั้งแรกที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลในปี 2547 โดยมีอาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่านเป็นที่ปรึกษาและร่วมก่อตั้ง
และในความหมายของนายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เลขามูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติโดยท่าน กล่าวว่า R2R แปลตรงไปตรงมาคือ “” การที่คนเราสามารถทำงานวิจัยจากงานประจำได้ ทุกคนสามารถเรียนรู้จากการทำงานได้ แต่ไม่ใช่เรียนรู้เฉยๆ แต่เป็นการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ คือมีเรื่องของกรอบแนวคิด วิธีการ ที่จะรวบรวมข้อมูลขึ้นมาได้
ส่วนศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช (อดีตผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และอดีตผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล ท่านเคยกล่าวไว้ในหนังสือเคล็ดไม่ลับ R2R เปิดคัมภีร์ R2R หน้า 13 ท่านกล่าวว่า แต่ไหนแต่ไรมา หากพูดถึงงานวิจัยใครๆก็เบือนหน้าหนีราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขมที่ฝืดเฝื่อนลิ้นก็ไม่ปาน ทำให้งานวิจัยเหมือนต้องคำสาป ราวกับเป็นเรื่องที่ไม่น่าเฉียดเข้าใกล้ จนกระทั่งงานวิจัยถูกจับเปลี่ยนใหม่ให้เก๋ใก๋น่าจับต้องมากกว่าเดิม ด้วยชื่อใหม่ว่า R2R (Routine to Research ) นอกจากนี้ R2R คือการใช้งานวิจัยมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพของคนทำงานให้ผลิตผลงานเชิงวิจัยออกมาแล้วสะท้อนกลับไปพัฒนางานประจำให้ดีขึ้นทำให้ความจำเจของงานประจำหายไปกลายเป็นความท้าทาย เป็นความสนุกที่ได้คิดค้นวิธีการสร้างความรู้เล็กๆๆแต่เป็นความรู้ใหม่ๆขึ้นมาทำประโยชน์
ผู้เขียนชอบคำกล่าวของอาจารย์วิจารณ์ที่ท่านได้แนะนำว่า หลายๆองค์กรมีแนวคิดที่จะพัฒนาบุคลากรและพัฒนางานไปพร้อมกันเพื่อยกมาตรฐานองค์กร ให้สูงขึ้นแต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
อาจารย์ตอบว่า อยากให้ลงมือทำโครงการ R2R บางแห่งอาจติดอยู่ที่มีความกลัว และกังวลเกี่ยวกับการทำงานวิจัย ท่านแนะนำวิธีก้าวข้ามผ่านความกลัวว่า “ ไม่มีอะไรที่เราต้องกลัว การทำอะไรก็ตามในชีวิตเราล้วนใช้สามัญสำนึกที่สำคัญ เมื่อเราไม่รู้ เราก็สามารถไปเรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์ แล้วนำมาต่อยอดพัฒนาความคิดของตนเองได้ ”
“หากองค์กรใดที่อยากทำR2Rให้กลับไปดูนโยบายขององค์กรว่าต้องการพัฒนาอะไร เป้าหมายที่จะทำให้ผู้ป่วย ประชาชน ผู้รับบริการพอใจมีอะไรบ้าง ให้หยิบนโยบายนั้นมาทำวิจัย โดยใช้R2Rเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเมื่อผลงานวิจัยประสบความสำเร็จก็จะได้รับนำกลับไปใช้พัฒนางานประจำ และสามารถขับเคลื่อนนโยบายองค์กรได้อย่างอัตโนมัติ
และที่สำคัญอย่าไปคิดว่าการทำ R2R เป็นภาระงานที่เพิ่มขึ้น” ว่ากันว่า ไม่กล้าก็ไม่ก้าว ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง และกลายเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้เราก้าวไปข้างหน้า ไม่ดีกว่าหรือถ้าเราจะสร้างความกล้าขึ้นมา ลบความกลัวที่เกาะกินใจ เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
ดังนั้นผู้เขียนในฐานะเป็นบุคลากรในระบบสุขภาพประมวลความคิดจากทั้งสองท่านว่า งานวิจัยจากงานประจำ (R2R ) เป็นการสร้างความรู้จากการทำงานในแต่ละวัน โดยใช้เครื่องมือสำคัญคือการจัดการความรู้ที่มีเป้าหมายผ่านกระบวนการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบเป็นเครื่องมือที่พัฒนาคน พัฒนางาน และพัฒนาองค์กร และก้าวทันความเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนต้องมองหาเนื้องานประจำสักชิ้นเพื่อทำR2R ได้แล้วจะได้ก้าวข้ามในสิ่งที่กลัว............
สวัสดีค่ะ
- ตามมา ลปรร ด้วยคนค่ะ
ขอบคุณค่ะ คุณเพชรน้อยที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะคะ
สวัสดีค่ะ
จะทำ R2R ได้น่าจะต้องเริ่มคิดเริ่มวิเคราะห์ในงานที่ทำก่อนใช่ไหมคะ
...อืมน่าสนใจค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยกระตุ้นความกล้าอย่างน้อยๆก็กล้าคิด
สเต๊ปต่อไปก็จะได้ไม่กลัวที่จะทำ
อุปสรรคอย่างหนึ่งในการทำ R2R หรืองานพัฒนาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
การไม่มีเวลา....
ไม่อยากได้ยินคำนี้เลยอ่ะ
ตามมา..เห็นด้วยกะคอมเม้นท์พี่ตุ่น..ถูกต้องดีแท้..โดนใจอย่างแร๊งส์..
คิดถึงพี่ทั้งสองจังจ้า..
^^
ดีใจจังคุณกะปุ๋ม เข้ามแวะชมงานเรา
ได้ติดตามงานของคุณKa-Poom มา 3 ปีแล้วสำหรับเรื่องKM R2R เเละเคยเจอในงานวิชาการแอบชื่นชมดร.ตัวเล็กๆๆเเต่เก่งจัง
กังสดาล
พี่ปู
เจ๊...รูปประจำโปรไฟล์หน่ะ...ใช้เทคนิคไหนอ่ะ...รูปสวยจัง
31 สิงหา - มิย นี้ กลุ่ม enocc สคร 6 จัดอบรม R2R ถ้าสนใจติดต่อไปนะครับ ผมสมัครแล้ว
สวีสดีค่ะ
โดนใจจริง ๆ เลย คิดมานานแล้วว่างานที่กรมสั่งให้ทำมันเยอะแยะมากมาย แล้วจะมีเวลาทำวิจัยได้อย่างไร R2R จุดประกายความคิดค่ะ ขอบคุณ Seperpu ค่ะ คงได้แลกเปลี่ยนกันในโอกาสต่อไปนะคะ (supervisor ก็น่าจะทำ R2R ได้เนาะ)
Supervisor
ขออนุญาตนำข้อความไปใช้เผยแพร่ให้กับคนห้องสมุดนะคะ เพราะได้รับมอบหมายให้แลกเปลี่ยนเรื่องนี้อยู่พอดีเลย
พี่ปูขา
บันทึกนี้ well known จัง
ที่สำคัญมันเป็นความจริงเสียด้วย...
ขอบคุณความรู้ดีๆครับ
หากเป็นเกษตรกร ก็คงเป็นการวิจัยในท้องนาซินะ