การลดความเหลื่อมล้ำในการทำงาน จึงต้องมองทั้งความรู้ ทักษะและบุคลิกภาพภายในของผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญ … การดึงศักยภาพของน้อง ๆ ที่อยู่ในความดูแลของตนเองออกมาได้ ใช้น้องให้ถูก ให้เป็น ตามที่รู้จักกันดีว่า “put the right man on the right job” ก็จะทำให้เกิดการลดช่องว่างในการทำงานได้
การนำเสนอการลดความเหลื่อมล้ำในการทำงานที่จะกล่าวต่อไปนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นตำราหรืออ้างอิงตำราใด ๆ แต่จะกล่าวจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาเกือบ 20 ปี ในเรื่องของการจัดการงานในความรับผิดชอบซึ่งเป็นงานที่จะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษเชิงธุรกิจและกฎหมาย ประกอบกับความรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบ ข้อปฏิบัติ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
เนื่องจากโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบเป็นเรื่องของเทคโนโลยีเฉพาะทางที่มีมูลค่าสูง และมีความเกี่ยวพันกับบริษัทต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศรวมทั้งหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ดังนั้น นอกจากความรู้ (Knowledge) ที่กล่าวมาแล้ว สิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งก็คือ “คุณธรรม” ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และการทำงานที่มีความเป็นสากล
สิ่งที่มักจะต้องจัดการมีหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
1. การจัดการระบบ (System)
2. การจัดการงาน (Work)
3. การดูแลคน (Man)
โดยจะอธิบายภาพรวมของการจัดการทั้งสามหลักนี้โดยสังเขป และจะขอเน้นหรือให้น้ำหนักกับการดูแลคนเป็นสำคัญ เพราะเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนการลดความเหลื่อมล้ำในการทำงาน
1. การจัดการระบบ ในที่นี้ หมายถึงการมองภาพ งานโดยรวม เพื่อ
(1) การจัดระบบโครงสร้างการทำงานภายในขอบเขตความรับผิดชอบ แบ่งออกเป็น
1.1 งานโครงการ
1.2 งาน Routine
1.3 งานเก็บรวบรวมระเบียบ กฎเกณฑ์ ข้อปฏิบัติข้อมูล สถิติต่าง ๆ
1.4 งานวางแผน พัฒนา และแก้ไขปัญหาอุปสรรค
(2) การจัดทำกระบวนการทำงานและการตรวจสอบ
หมายถึงการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานที่เป็นกระบวนการทำงานในแต่ละขั้นตอนตามปกติ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้
2. การจัดการงาน หน้าที่หลักของผู้เขียนคือการตรวจสอบการดำเนินงานให้เป็นไปตามระบบที่วางไว้ ตลอดจนวางแผน แก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในบันทึกนี้ จะขออธิบายการจัดการงานแฝงร่วมไปกับการดูแลคนในความรับผิดชอบ
3. การดูแลคนในความรับผิดชอบ
โดยส่วนตัว ขออนุญาตไม่ใช้คำว่า “จัดการคน” แต่ใช้คำว่า “ดูแลคน” แทน เนื่องจากคำว่าดูแล ที่ผู้เขียนใช้ จะสอดคล้องกับประสบการณ์ในการปฏิบัติจริงที่ผู้เขียนถือว่าคนที่อยู่ร่วมกันในที่ทำงานเดียวกันและทำงานด้วยกันเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกัน
ผู้เขียนได้เข้าไปมีส่วนในการส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือพี่ ๆ น้อง ๆ ที่อยู่ในความดูแลของผู้เขียน โดยเป็นการดูแลทั้งเรื่องการปฏิบัติงาน จนกระทั่งทุกข์สุขและเรื่องส่วนตัวที่พี่ ๆ น้อง ๆ ต้องการให้ไปแก้ไขปัญหา ซึ่งในที่นี้คงไม่สามารถเล่าสู่กันฟังได้ทั้งหมด จึงขอยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพ สำหรับบันทึกนี้ ขอเริ่มด้วยเรื่องการมอบหมายงาน
การมอบหมายงาน
หลักการมอบหมายงานที่ผู้เขียนยึดถือเสมอคือ
ความยุติธรรม ซึ่งคำนี้ยากที่จะนิยาม เนื่องจากเป็นนามธรรมที่ขึ้นอยู่กับแต่ละท่านจะตีความหมายและให้คุณค่า…โดยส่วนตัว ในการทำงานนั้น เราไม่สามารถแบ่งงาน เสมือนการตัดแบ่งเค้กให้ได้สัดส่วนเท่า ๆ กัน
การมอบหมายงานจึงขึ้นอยู่ศักยภาพของพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ผู้เขียนต้องดูแล
ในกรณีงานโครงการ เป็นงานที่ยากที่สุด เนื่องจากมีมูลค่านับร้อยล้านพันล้าน ต้องรับผิดชอบสูง มีความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และความขัดแย้งมากมาย
ผู้ปฏิบัติงานที่เหมาะสมกับงานลักษณะนี้จะต้องมีความรับผิดชอบสูง โดยมองภาพรวมของงานทั้งหมดทั้งแต่ต้นจนจบ มีการวางแผนและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง ทำงานเร็ว มีความคล่องตัว มองปัญหาและแก้ปัญหาได้ถูกต้อง ซึ่งผู้เขียนได้มอบหมายงานนี้ให้กับน้องคนหนึ่ง (น้อง A)ที่เข้างานมาได้ไม่ถึงปี ในขณะที่น้องอีกคน (น้อง B)ที่อาจจะเข้างานมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รับมอบหมายให้ทำงานโครงการโดยลำพัง ถามว่ายุติธรรมไหมที่คนหนึ่งทำงานหนักมาก แต่อีกคนไม่ได้ดูแลรับผิดชอบโครงการคนเดียว ก็คงเบาไม่หนักเท่าไหร่ ใช่ไหม
เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกันไหม?
คนที่มีความรู้อย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอในการทำงาน สิ่งสำคัญในการทำงานโครงการที่ยากลำบาก คือบุคลิกลักษณะของผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งหากจะแนะนำหรือสอนกันแล้วคงต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลงกันยกใหญ่ โดยผู้ปฏิบัติจะต้องพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยเป็นสำคัญ
ความรู้ในบางสาขาวิชา เหลื่อมล้ำแตกต่างกันบ้าง แต่ก็มีวันเติมเต็มส่วนที่ขาดพร่องได้ แต่หากบุคลิกนิสัยไม่สอดคล้องกับการทำงานในบางลักษณะแล้ว ก็ยากแก่การเคี่ยวเข็ญ
ในกรณีนี้ ผู้เขียนจึงมอบหมายงาน Routine ให้แก่น้อง B ซึ่งมีลักษณะการทำงานที่ค่อนข้างช้า มองภาพรวมงานไม่ได้ทั้งหมด ทำงานทีละขั้นตอน มองงานทีละส่วน ที่สำคัญคือไม่มีนิสัยของการวางแผนงานและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้ แต่ข้อดีของน้อง B คือความละเอียดรอบคอบ ความอดทนสูง ไม่เกี่ยงงาน
ในงานที่ผู้เขียนรับผิดชอบ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่มีลักษณะแบบน้อง B มีมากกว่าแบบน้อง A หากในช่วงใด มีงานโครงการสำคัญเข้ามามาก ผู้เขียนจะต้องมอบหมายให้ทำงานแบบจับคู่ ดูงานคนละช่วงตอน และให้ผลัดกันตรวจสอบความถูกต้องซึ่งกันและกัน
การลดความเหลื่อมล้ำในการทำงาน จึงต้องมองทั้งความรู้ ทักษะและบุคลิกภาพภายในของผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญ … การดึงศักยภาพของน้อง ๆ ที่อยู่ในความดูแลของตนเองออกมาได้ ใช้น้องให้ถูก ให้เป็น ตามที่รู้จักกันดีว่า “put the right man on the right job” ก็จะทำให้เกิดการลดช่องว่างในการทำงานได้
Feedback ที่ผู้เขียนได้รับคือ ทุกคนมีความพึงพอใจในการทำงาน ได้ทำงานตามที่ตนเองถนัด และแม้ไม่ถนัด แต่ก็จัด Buddy ให้ปรึกษาหารือและช่วยเหลือกัน เพื่อลดปัญหาหรือความตรึงเครียดในการทำงาน
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนถ่ายทอดต่อให้พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ทำงานด้วยกันคือ “อย่าทำตัวมีนาย” หรือยึดติดกับระบบอุปถัมภ์ว่าเด็กของใคร…
แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมทำงานและพบเห็นกันบ่อย ๆ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องใส่ใจหรือไปน้อยเนื้อต่ำใจ เพ่งโทษใครว่า ใครได้ดีเพราะมีนาย นั่นเป็นความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องดี เลว ผิด ถูกอะไร
ความสำเร็จและความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีความสุขที่ได้ทำแบบนั้นแล้วประสบความสำเร็จ และหากว่าผู้เป็นนายชอบคนแบบนั้น ก็เป็นเรื่องที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อผลแห่งการคัดเลือกหรือแต่งตั้งคนที่เขาเลือกเอง
สำหรับผู้เขียนแล้ว ความสุขและความสำเร็จในชีวิตคือการได้ทำอะไรให้แก่สังคมเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน นอกเหนือไปจากงานที่ทำอยู่แล้ว กล่าวคือ การมีเวลา (Time) ที่เพียงพอ และมีพื้นที่(Space) ที่จะจัดการงานตามหน้าที่พร้อมกับการมีโอกาสอุทิศตนเพื่อสังคม ซึ่งทำให้รู้สึกว่ามีคุณค่าเหนือกว่าการดำรงตำแหน่งสูงเพื่อการทำงานด้านเดียว
ผู้เขียนบอกพี่ๆ น้อง ๆ ว่าขอให้ทำงานเพื่องานเท่านั้นพอ ไม่ได้ทำงานเพื่อใคร…สำรวจใจตนเองว่าความคาดหวังในการทำงานคืออะไร ความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วจะวัดคุณค่าของคนกับงานกันตรงไหน ตรงที่ตำแหน่งที่สูงกว่าก็คงไม่ใช่...
ความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมกันที่ว่าใครจะได้ดีกว่ากันในที่ทำงาน จึงอยู่ที่ใจของผู้ปฏิบัติเอง…แก้ที่ใจตน หรือค้นพบความต้องการและศักยภาพของตนเอง... Self Actualization ก็จะพบความสงบภายในและทำงานด้วยความไม่ทุกข์ใจ
----------------