ผมนึกย้อนถึงตอนที่เริ่มให้คำปรึกษาการจัดทำตัวชี้วัดการพัฒนาความสุขมวลรวมของสภาองค์กรชุมชนตำบลบ้านเลือกเมื่อช่วง 2 ปีที่แล้ว นอกจากการปรึกษาหารือถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และ การวางแผนการดำเนินงานแล้ว ผมคิดว่าขั้นตอนการสำรวจสิ่งที่ดีๆหรือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของคนในชุมชนและการค้นหาประวัติศาสตร์ของชุมชนเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เป็นกระบวนการที่ทำให้คณะทำงานมีอะไรบางอย่างที่เป็นสำนึกความเป็นชุมชนท้องถิ่นร่วมกัน เกิดการตระหนักในคุณค่าแห่งพวกตน จนสรุปเป็นเอกลักษณ์หรือ อัตลักษณ์ของชุมชนผ่านเรื่องเล่า เป็นตำนานของชุมชนท้องถิ่นนั้นๆ นี่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าที่เป็นตำนานที่สะท้อนอัตลักษณ์ของคนบ้านเลือก
ตามคำบอกเล่าสืบสานต่อกันมาชาวชุมชนตำบลบ้านเลือกสืบเชื้อสายมาจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งประกอบไปด้วยชาติพันธุ์สามกลุ่มหลักใหญ่ๆ คือ ลาว มอญ จีน โดยจากประวัติความเป็นมาอันยาวนาน สืบสาวตามประวัติศาสตร์ในสมัยธนบุรีในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ขณะดำรงพระอิสริยยศตำแหน่งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เดินทางยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์ แห่งอาณาจักรล้านช้างและได้กวาดต้อนชาวเวียงจันทน์ให้มาอาศัยอยู่บริเวณเมืองสระบุรี ราชบุรี โดยเฉพาะเมืองราชบุรีจะมีชาวลาวจากเวียงจันทน์ได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งชาวลาวที่อพยพมาอยู่ที่เวียงจันทน์นี้ถูกเรียกว่า “ลาวเวียง” อันเป็นชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่ได้กลายเป็นบรรพบุรุษของชาวชุมชนตำบลบ้านเลือกในกาลต่อมา
กลุ่มชาติพันธุ์มอญ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่บริเวณชายน้ำแม่กลองและขยายต่อมายังบริเวณที่เป็นที่ตั้งชุมชนตำบลบ้านเลือก ซึ่งจากประวัติศาสตร์มอญกลุ่มนี้ได้เข้ามาอยู่ในชุมชนแห่งนี้ตั้งแต่สมัยอยุธยา การอพยพครั้งนี้สืบเนื่องมาจากสงครามและการแสวงหาที่ทำกิน
กลุ่มชาติพันธุ์จีน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้อพยพเข้ามาตั้งรกรากอาศัยอยู่บริเวณโพธาราม ซึ่งสาเหตุของการเข้ามาของกลุ่มชาวจีน ได้รับการบอกเล่าว่า เดินทางเข้ามาเพื่อการค้าขายโดยการนำสินค้า เช่น กะปิ น้ำปลา อาหารทะเล เกลือ ครกกระเดื่องตำข้าว ฯลฯ ขนสินค้าใส่เรือ “เอี๊ยมจุ๊น” เข้ามาตามแม่น้ำแม่กลองและลำน้ำสาขา เช่น คลองตาคต คลองวัดโพธิ์ คลองปลาดุก คลองดำเนินสะดวก ฯลฯ ซึ่งจากสาเหตุการเดินทางเข้ามาเพื่อการค้าชาวจีนหลายคนได้แต่งงานและตั้งรกรากอยู่ที่ชุมชนแห่งนี้และได้กลายเป็นบรรพบุรุษอีกชนกลุ่มหนึ่งของชุมชนบ้านเลือก
นอกจากประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว ชุมชนตำบลบ้านเลือกยังมีประวัติศาสตร์การบอกเล่าสืบต่อกันมาถึงที่มาของการตั้งชื่อชุมชน ว่าที่มาของการตั้งชื่อชุมชน”บ้านเลือก”นั้นมีที่มาจากชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนที่มีความเก่ง มีชื่อเสียงในวิชาชีพการเลี้ยงม้า โค กระบือไว้ใช้งานและหลายครั้งที่ม้า โคจากชุมชนที่นี่ได้ถูกคัดเลือกถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการแด่พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงษ์ เจ้านายชั้นสูง เพื่อนำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญที่เป็นที่กล่าว ขวัญถึง คือ ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระองค์ได้เสด็จประพาสบริเวณชุมชนบ้านเลือกแห่งนี้ พระองค์ได้ทอดพระเนตรม้า โคจากชุมชนแห่งนี้ทรงเห็นว่า ม้า โคจากที่นี่ เป็นม้า โคที่มีลักษณะดี สวยงาม เหมาะสำหรับใช้ในการศึกหรือราชการงานทั่วไป พระองค์จึงทรงคัดเลือกม้าจากชุมชนแห่งนี้เข้าไปใช้ในราชการ และเพื่อเป็นอนุสรณ์คุณความดีของชุมชนแห่งนี้ จึงได้มีการขนานนามชุมชนแห่งนี้ว่า “ชุมชนบ้านเลือก” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นอกจากการมีอาชีพทำนา ทำสวน เป็นลูกจ้างโรงงานแล้ว บางครัวเรือนได้มีการสร้างอาชีพเสริมนอกจากการทำสวน การเลี้ยงโคนม โดยเฉพาะ การปลูกข้าวโพดแปดแถวพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งมีคำกล่าวกันว่า “ข้าวโพดแปดแถวพันธุ์นี้นำไปปลูกที่ไหนก็รสชาติสู้ปลูกที่ชุมชนบ้านเลือกไม่ได้” ซึ่งคำกล่าวดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงความภาคภูมิใจว่า พื้นที่ชุมชนบ้านเลือกเป็นพื้นที่ที่มีดิน มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ มีน้ำเพียงพอที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของข้าวโพดนั่นเอง นอกจากนี้ที่บ้านเลือกยังขึ้นชื่อในเรื่งอุตสาหกรรมในครัวเรือนทั้งหลาย และการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม คือ มีทั้งการมีอาชีพเสริมด้านอุตสาหกรรมภายในครัวเรือน และการมุ่งผลิตเพื่อการค้า เช่น การทำตุ๊กตาผ้า ลูกประคบสมุนไพร การประดิษฐ์ของชำร่วย การทำปลาหวาน โดยเฉพาะการทำตุ๊กตาผ้า ลูกประคบสมุนไพร จากกิจกรรมในครัวเรือนต่อมาได้เกิดการขยายจากครัวเรือน เป็นการส่งเสริมการทำในหลายครัวเรือนและจากหลายครัวเรือนเป็นการรวมกลุ่มทำร่วมกัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทำร่วมกันได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Tambon One Product) ของชุมชนบ้านเลือกในเวลาต่อมา และมีผลิตภัณฑ์ชุมชนหลายผลิตภัณฑ์ที่ต่อมากลายเป็นสินค้าส่งออกต่างประเทศได้
กระบวนการจัดทำเป้าหมายตัวชี้วัดความสุขมวลรวมชุมชนท้องถิ่นนั้น ผมคิดว่าขั้นตอนการสำรวจสิ่งที่ดีๆหรือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของคนในชุมชน(ทุนทางสังคม)และการค้นหาประวัติศาสตร์ของชุมชนเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เพราะนี่คือรากฐานที่เป็นจิตวิญญาณหรือชีวิตจิตใจของชุมชนนั่นเอง
ไม่มีความเห็น