เรื่องเล่าเร้าพลัง ; เมื่อผมกลับบ้าน “เชียงจ่อยเด็กเลี้ยงควาย และเชียงจ่อย...ชายผู้รู้ใจม้ากับม้าที่รู้ใจคน”


มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่ผมชอบเล่าบ่อยๆครับ......จนเพื่อนๆเด็กเลี้ยงควายด้วยกันเลยเรียกชื่อผมเป็นการล้อเล่นว่า “เชียงจ่อย”ตามชื่อเรื่องเล่า

ในช่วงวันที่ 9 -11 มิ.ย. 53  ผมลาหยุดพักร้อนกลับบ้านที่กาฬสินธุ์  เมืองดินดำน้ำชุ่มครับ ด้วยความรู้สึกที่อ่อนล้าอยากพักผ่อนแบบสบายๆจากความเครียด  ความกดดันของเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมา...ในบรรยากาศสบายๆที่บ้านเกิดเมืองนอนครั้งนี้  ทำให้ผมได้หวลรำลึกถึงเรื่องเล่าเก่าๆที่เคยเล่ากันมาในวัยเยาว์ โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมหน้าแล้ง  ตอนไปเลี้ยงควายกลางทุ่ง ว่างๆเรามักจะมีนิทานหรือเรื่องเล่ามาเล่าสู่กันฟัง ตามประสาเด็กเลี้ยงควาย  มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่ผมชอบเล่าบ่อยๆครับ......จนเพื่อนๆเด็กเลี้ยงควายด้วยกันเลยเรียกชื่อผมเป็นการล้อเล่นว่า “เชียงจ่อย”ตามชื่อเรื่องเล่าและต่อมาใครๆเขาก็เรียกชื่อผมเป็น “เชียงจ่อย”ตาม  ก็ด้วยเนื่องมาจากการที่ผมชอบเล่าตำนานเรื่องนี้ครับ เรื่อง“เชียงจ่อย......ชายผู้รู้ใจม้ากับม้าที่รู้ใจคน”

............

เช้าวันหนึ่งเชียงจ่อยตื่นนอนแต่เช้ามืดเป็นพิเศษออกมาจากตูบที่ทำด้วยกองฟาง......แม้อากาศจะเยือกเย็นไปหน่อย เสียงลมหนาวดังกระหึ่มมาแต่ไกลจากตีนเทือกเขาภูพานเป็นลมที่เรียกกันว่า “ลมโตนภู”นั่นเอง

เมื่อคืนเชียงจ่อยนอนดึกไปหน่อยด้วยไปช่วย “ตีข้าว”กับ ลานข้าวเพื่อนบ้านนาติดกันเป็นเจ้าของลานข้าวของคนที่มีลูกสาวสวยที่สุดในหมู่บ้าน ลานข้าวคืนนั้นเลยมีหนุ่มๆมาช่วยตีข้าวกันมากหน้าหลาย กับการตีข้าวยามค่ำคืนหน้าหนาวสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการดูดช้าง(อุ)หรือสาโทข้าวเหนียวเป็นไหๆ พร้อมต้มไก่ใส่ใบกัญชาอร่อยอย่าบอกใคร  คลอเคล้าด้วยเสียงเพลงแคน ลายผู้ไทเลาะตูบ ต่อด้วยลายผู้ไทน้อย ลมพัดพร้าว เป็นที่เพลิดเพลินใจเชียงจ่อยยิ่งนัก เชียงจ่อยยิ้มในใจอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงบรรยากาศในยามค่ำคืนที่ผ่านมา

แต่แล้วในเช้านั้นพอเชียงจ่อยเปิดตูบออกมาข้างนอกเขาก็ต้องตกใจ ด้วยมีม้าตัวใหญ่สวยสง่างามมายืนคอยท่าเขาอยู่ที่หน้าตูบ นี่เป็นม้าใครหลงทางมาน้า  มันพลัดหลงจากเจ้าของมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร   ที่แน่ๆต้องไม่ใช่ม้าของคนบ้านเราอย่างแน่นอนเขาคิดในใจ ม้าลักษณะดีสง่างามหาที่ติไม่ได้อย่างเช่นนี้จะต้องเป็นม้าคู่บุญบารมีของคนผู้ดีมียศศักดิ์ในบ้านเมือง  ว่าแล้วเขาก็กระโดดขึ้นหลังม้ากระตุกเชือกให้มันหันหลังกลับ  เพื่อจะนำมันไปส่งเจ้าของ มันจะต้องรู้ทางมาของมัน มันจะต้องรู้ทางที่จะกลับไปหาเจ้าของมันได้  เชียงจ่อยคิดในใจ

แล้วเชียงจ่อยก็ต้องแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อทางที่ม้าเดินไปนั้นเป็นเส้นทางเล็กๆแคบๆเป็นเส้นทางที่เดินสูงขึ้นไปสู่เทือกเขา “ภูพาน”เชียงจ่อยไม่เคยเดินทางเส้นทางนี้มาก่อน ดูแล้วแทบจะไม่มีคนสัญจรเสียด้วยซ้ำ หากแต่เชียงจ่อยสังเกตเห็นร่องรอยเดินของม้า จึงเชื่อใจม้าว่ามันกำลังเดินทางย้อนกลับตามทางที่มันเคยเดินทางมา  ยิ่งนานเข้าม้ายิ่งพาเดินเข้าไปในป่าลึกและป่ายปีนสันภูพานที่สูงชันขึ้นไปเรื่อยๆ  ในป่าลึกเขตป่าเขาเช่น “ภูพาน”แห่งนี้จะมีผู้คนมาอยู่อาศัยได้อย่างไรเชียงจ่อยคิด  ด้วยความรู้สึกที่ท้าทายผสมกับความอยากรู้อยากเห็น  เชียงจ่อยจึงปล่อยม้าให้มันเดินไปตามทางของมัน  แล้วเราจะกลับอย่างไรนี่ ใจหนึ่งเชียงจ่อยก็อดที่จะลังเลใจไม่ได้  ไหนๆก็ไหนๆแล้ว  จะลองเชื่อใจม้ามันดู

นานแสนนานกับการเดินทางในป่าลึก ...แล้วเชียงจ่อยเกิดความฉงนในใจยิ่งนักเมื่อม้าตัวนั้นได้พาเขามายืนอยู่หน้าปากถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง  เป็นถ้ำที่ปกคลุมไปด้วยไม่ใหญ่นานาชนิดกลางป่าลึก   และแล้ว ก็มีชายร่างใหญ่สูงสง่าออกมาจากถ้ำแล้วเดินมาหาเขา

เจ้าฮู้ว่าจั่งใด๋ว่าเฮาอยู่นี่....และเจ้าฮู้ได้จังได๋ว่าเฮาเป็นเจ้าของม้าถึงเอามาคืนเจ้าของได้” ชายร่างใหญ่ถาม

“ข้าน้อยบ่ฮู้ดอก  แต่ม้ามันหากฮู้เอง   ตูข้อยเพียงแต่เชื่อใจม้า” เชียงจ่อยตอบ

“ขอบใจเจ้าหลาย....เจ้าแม้นเป็นคนฮู้ใจม้าแท้ๆ”

ว่าแล้วชายเจ้าของม้าก็เชิญเชียงจ่อยเข้าไปในถ้ำ   ชายร่างใหญ่ผู้นั้น ได้นำอาหารเครื่องดื่มมาเลี้ยงดูเชียงจ่อยอย่างสมเกียรติ  ในถ้ำที่ใหญ่โตมโหฬารแห่งนั้น  เมื่อมองลึกเข้าไปข้างในยังมีผู้คนอยู่ในถ้าแห่งนี้มากมาย  พวกเขาเหล่านั้นแต่งตัวด้วยชุดที่ดูแปลกตา เชียงจ่อยเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ในสายตาเชียงจ่อยเขาดูแล้วเท่ห์เตะตาโดนใจเขาเต็มที่  พวกเขาเหล่านี้เป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ ท่ามกลางป่าเขาลึกเช่นนี้หนอ

 “กินให้อิ่ม กินให้สบายๆ กินให้เต็มที่แล้วค่อยคุยกัน   กับคนที่รู้ใจม้าอย่างเจ้า เฮาขอคุยนำโดนๆ(คุยด้วยนานๆ)หน่อย แล้วจะให้คนไปส่งเจ้ากลับบ้าน”

หลังกินข้าวอิ่มหนำสำราญชายร่างใหญ่ก็ชวนเชียงจ่อย คุยถามเชียงจ่อยว่าเขาชื่ออะไร  เขาเป็นใคร  มาจากไหน เป็นลูกหลานใคร  บวชเณรมามีใครเป็นพระอุปัชฌาย์  เชียงจ่อยแปลกใจอย่างยิ่งในตัวชายร่างใหญ่ผู้นี้ทำไมเขาถึงรู้จักผู้คนที่หมุ่บ้านของเขาได้มากหน้าหลายตาเช่นนี้ ทั้งที่อยู่ในเขตคนละถิ่นโดยเฉพาะการรู้จักชื่อผู้คนในหมู่ครูประชาบาลแถบบ้านเขา ด้วยอยู่ละฟากฝั่งของเทือกเขาภูพานระหว่างอำเภอกุสิมนารายณ์บ้านเขา(รวมเขาวง นาคู ห้วยผึ้งและกุฉินารายณ์ปัจจุบัน)กับฝั่งสกลนครของชายร่างใหญ่  ถึงแม้เขาจะยังไม่บอกแต่ฟังจากสำเนียงที่พูด เป็นเสียงสำเนียง “คนญ้อ” เชียงจ่อยก็รู้ได้ว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้ต้องเป็นคนสกลนครแน่นอน
และสิ่งที่ทำให้คนผู้ไทอย่างเชียงจ่อยรู้สึกดีมีความชื่นชอบชายร่างใหญ่คนนี้เป็นพิเศษ ก็ด้วยเขารู้เรื่องประวัติความเป็นมาของคนผู้ไทเป็นอย่างดี  เขาเล่าถึงตำนานความเป็นมาของคนผู้ไทด้วยความภาคภูมิใจไล่เรื่อยมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์เมืองแถน ยันสมัยผู้ไทอพยพมาอยู่เมืองลาวแถวคำม่วน สะหวันเขตแล้วค่อยย้ายมาในฝั่งสยามในเวลาต่อมา กระจายอยู่หลายพื้นที่  เขายังบอกว่าในถ้ำแห่งนี้ก็มีคนผู้ไทอาสามาร่วมประกอบภารกิจสำคัญของชาติบ้านเมืองอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก

ว่าแล้วชายร่างใหญ่ก็บอกเล่าถึงภารกิจสำคัญยิ่งที่เขากำลังทำอยู่ร่วมกับพี่น้องผู้รักชาติรักแผ่นดินรายรอบเขตเทือกเขาภูพานแห่งนี้......เชียงจ่อยฟังด้วยใจที่ฮึกเหิม แล้วจึงได้ถามว่าหากเขาจะเป็นอาสาสมัครมาร่วมงานด้วยเขาจะต้องทำอย่างไร  ชายร่างใหญ่ได้บอกกับเชียงจ่อยถึงภารกิจนี้เป็นภารกิจลับ ไม่เป็นที่เปิดเผยจะบอกใครไม่ได้  มีความเสี่ยงต่อชีวิตอย่างสูง และไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรตอบแทนส่วนตัว มีแต่การให้กับแผ่นดินให้กับพี่น้องคนร่วมชาติ หากมีศรัทธาในอุดมการณ์ให้กลับไปบอกญาติพี่น้องแต่ไม่ต้องบอกความจริงทั้งหมด บอกเพียงแต่ว่าจะไปทำงานต่างถิ่นแล้วจะส่งข่าวภายหลังพอ  ว่าแล้วเชียงจ่อยก็ได้กลับบ้านกับม้าที่รู้ใจคนตัวเดิม เขากลับมาถึงบ้านเอาตอนมืดค่ำ  ทำเอาคนที่บ้านเป็นห่วงด้วยไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหนทั้งวัน

รุ่งเช้าวันใหม่เชียงจ่อยพร้อมม้าจึงได้มายืนอยู่หน้าถ้ำที่เดิมอีกครั้งหากแต่เขาไม่ได้มาคนเดียวเขาได้พาเพื่อนคนหนุ่มในหมู่บ้านมาด้วยอีกหลายคน พร้อมข้าวของเสบียงบนหลังม้าอีกมากมาย

“สมแล้วที่เจ้าเป็นคนที่ฮู้ใจม้า...หากแต่เจ้ายังฮู้ใจคนอีกต่างหาก” ชายร่างใหญ่บอกกับเชียงจ่อย

ชายร่างใหญ่ได้มอบหมายให้คนมารับเขาไปยังที่พักในถ้ำลึกลับ  และเริ่มปฏิบัติการฝึกการใช้อาวุธในบ่ายนั้นทันที เวลาว่างก็จะมีคนมาอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองและเรื่องราวภารกิจการกอบกู้ชาติบ้านเมืองร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรต่อต้านการยึดครองจากญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ“เสรีไทย”บนภูพานแห่งนี้

กับภารกิจการกู้ชาติบ้านเมืองชายร่างใหญ่ได้มอบภารกิจสำคัญๆให้เชียงจ่อยทำอยู่หลายครั้ง  และเชียงจ่อยก็มีความรับผิดชอบเต็มความสามารถ  ภารกิจสำคัญที่สุดที่เชียงจ่อยภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต  ที่ชายร่างใหญ่มอบเป็นภารกิจให้เชียงจ่อยแก้ไขปัญหาการที่กองทัพญี่ปุ่นรู้ว่าที่บ้านนาคู อำเภอกุดสิมนารายณ์(ปัจจุบันอยู่อำเภอนาคู) จังหวัดกาฬสินธุ์นั้นมีสนามบินของเสรีไทยอยู่   ซึ่งสนามบินแห่งนี้กำลังจะถูกใช้เพื่อขนส่งกำลังบำรุงเป็นเสบียง สรรพาวุธ  ยาเวชภัณฑ์รวมทั้งเครื่องมือสื่อสาร ลำเลียงส่งมาจากฝ่ายสัมพันธมิตรที่อินเดียและจะมาถึงในเร็ววัน  กองทัพญี่ปุ่นจึงได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด  มาทำลายสนามบินนาคูให้ย่อยยับตามพิกัดที่ได้รับทราบข่าวมาจากฝ่ายสอดแนม  เชียงจ่อยต้องระดมกำลังผู้คนที่บ้านนาคูมาปลูกข้าวบนสนามบินตอนกลางคืนทั้งคืน  และแล้วเมื่อถึงตอนรุ่งเช้าสนามบินนาคูก็ถูกแปรสภาพเป็นนาข้าวเรียบร้อย เมื่อเครื่องบินกองทัพญี่ปุ่นบินลงต่ำจะทิ้งระเบิดตามพิกัด  นักบินมองวนหาอย่างไรก็หาไม่เห็นสนามบิน บินวนอยู่นานแสนนานมองไปทีไรก็เห็นแต่นาข้าวดูเขียวไปหมดสุดลูกหูลูกตา    จึงต้องบินกลับก่อนที่น้ำมันจะหมด  ภารกิจสำคัญนำมาซึ่งความก้าวหน้าและความสำเร็จอย่างสูงมาสู่กองทัพ “เสรีไทย”โดยรวม  ทำให้มีการลำเลียงขนส่งกำลังบำรุงเป็นเสบียง สรรพาวุธ  ยาเวชภัณฑ์รวมทั้งเครื่องมือสื่อสารสนับจากฝ่ายสัมพันธมิตรประสบผลสำเร็จ  ชายร่างใหญ่บอกว่าความสำเร็จนี้เป็นความสำเร็จจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกๆคนจนกลายเป็นปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้ แน่นอนงานนี้ “เชียงจ่อย....คนผู้รู้ใจม้ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง”แต่เชียงจ่อยอดคิดจะแย้งกลับไปว่า “ความสำเร็จนี้เกิดจากม้าที่รู้ใจคนต่างหาก”  เขาจึงได้แต่เก็บงำความรู้สึกนั้นไว้

วันที่เชียงจ่อยภาคภูมิใจวันหนึ่งในชีวิต คือวันแห่งเกียรติยศ วันที่เชียงจ่อยได้มีโอกาสแต่งเครื่องแบบเสรีไทยเต็มยศเดินสวนสนามที่ถนนราชดำเนิน ประกาศชัยชนะร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2  ในครั้งนั้นการประกาศสงครามเข้าฝ่ายกองทัพญี่ปุ่นของรัฐบาลประเทศสยามทำสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นถือเป็นโฆษะ   สัมพันธมิตรได้ให้การรับรองขบวนการ “เสรีไทย”ของประเทศสยามที่มีท่านปรีดี พนมยงค์ ขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในทางเปิด และเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยในทางลับ โดยมีชายร่างใหญ่แห่งเทือกเขาภูพาน “นายเตียง ศิริขันธ์” เป็นแม่ทัพใหญ่ ทำให้ประเทศสยามรอดพ้นจากการเป็นประเทศผู้พ่ายแพ้สงคราม

ในการสวนสนามของพลพรรคขบวนการเสรีไทย ณ ถนนราชดำเนินกลางเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2488 ที่ท่านปรีดี พนมยงค์เป็นประธานในพิธีนั้น มีกองกำลังเสรีไทยเข้าร่วมกว่า 8,000 คน พร้อมด้วยอาวุธทันสมัย ที่ได้รับจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกา คำปราศรัยอันเป็นประวัติศาสตร์ ของท่านปรีดีผู้เป็นประธานในพิธีวันนั้นมีอยู่ตอนหนึ่งว่า

           “เราทั้งหลายได้ถือเป็นหลักเป็นคติในการรับใช้ชาติครั้งนี้ว่า เรามุ่งจะทำหน้าที่ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคนไทย ซึ่งจะต้องสนองคุณชาติ เราทั้งหลายไม่ได้มุ่งหวัง ทวงเอาตำแหน่งในราชการมาเป็นรางวัลตอบแทน การกระทำทั้งหลาย ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของบุคคล หรือหมู่คณะใด แต่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้งมวล การกระทำคราวนี้มิได้ตั้งเป็นคณะหรือพรรคการเมือง แต่เป็นการร่วมงานกันประกอบกิจ เพื่อให้ประเทศไทยได้กลับคืนสู่สถานะก่อนวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484......

           “วัตถุประสงค์ของเราที่ทำงานคราวนี้มีจำกัด และมีเงื่อนเวลาสิ้นสุด กล่าวคือ เมื่อสภาพการณ์เรียบร้อยลงแล้ว ก็จะเลิก สิ่งที่เหลืออยู่ในความทรงจำของเราทั้งหลายก็คือ มิตรภาพอันดี ในทางส่วนตัวที่เราได้ร่วมรับใช้ชาติด้วยกันมา โดยปราศจากความคิด ที่จะเปลี่ยนสภาพองค์การ ให้เป็นคณะหรือพรรคการเมือง

เชียงจ่อยได้ตระหนักว่ากระทำการครั้งนั้นของท่านปรีดี พนมยงค์ ท่านเตียง ศิริขันธ์และพลพรรคเสรีไทยทั้งหลายล้วนเป็นการกระทำเพื่อชาติโดยแท้ ไม่มีวาระซ่อนเร้นที่จะเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะตัวแอบแฝงมากับงาน ภารกิจของขบวนการเสรีไทยเป็นไปในลักษณะเฉพาะหน้า เฉพาะกิจ เฉพาะกรณีเมื่อจบภารกิจก็ยุติบทบาทสลายกำลัง - วางอาวุธ !

กลับจากสวนสนามที่กรุงเทพ สมาชิกกองทัพเสรีไทยทั้งหมดรวมทั้งเชียงจ่อยได้สลายตัวกลับไปเป็นราษฎรสามัญชนคนธรรมดา ภายใต้กฏเหล็กที่ยึดถือร่วมกันว่าต้องไม่เอาความดีความชอบนั้นเป็นของตัวเอง....จึงไม่ค่อยมีใครจะได้พูดถึงวีรกรรมของเสรีไทยในครั้งนั้นนัก

และยิ่งหลังจากนั้นรัฐบาลชุดใหม่ต่อจากท่านปรีดี พนมยงค์ได้ตั้งข้อกล่าวหาท่านปรีดี  ว่าไม่มีความจงรักภักดี ว่าท่านมีความเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคตของ ร.8  จึงทำให้ท่านต้องเดินทางไปลี้ภัยในต่างประเทศ ส่วนท่าน “เตียง ศิริขันธ์” ขุนพลคู่ใจท่านปรีดีก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎต่อแผ่นดิน  เมื่อเข้ามอบตัวกับทางตำรวจก็โดนสร้างสถานการณ์ว่าท่านพยายามหลบหนีจากคุกและถูกฆ่าตายอย่างทารุณ ที่ข้างทางจะไปเมืองกาญจน์  ส่วนเพื่อน 4 อดีตรัฐมนตรีจากภาคอีสาน ประกอบด้วย จำลอง ดาวเรือง ถวิล อุดล  ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ ซึ่งทั้งหมดเป็นอดีตรัฐมนตรีและนักการเมืองในสังกัดของนายปรีดี พนมยงค์ และเตียง ศิริขันธ์ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดินเช่นกัน...ทั้ง 4 อดีตรัฐมนตรีถูกสร้างสถานการณ์ว่ามีการแย่งชิงนักโทษโดยเมื่อเวลา 03:00 คืนวันที่ 4 มีนาคม 2492 ที่ถนนพหลโยธิน ก.ม.ที่ 11 บริเวณบางเขน (ใกล้แยกรัชโยธิน) โดยทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิตอย่างน่าสงสัยบนรถขนนักโทษของตำรวจ แต่ทางรัฐบาลสมัยนั้นแถลงว่าเกิดจากการปะทะกับโจรมลายูที่จะมาชิงตัวนักโทษ ซึ่งไม่มีใครให้ความเชื่อถือกับคำแถลงของอำนาจรัฐในเวลานั้น  ต่อมาครูครอง จันดาวงค์ แกนนำเสรีไทยคนสำคัญที่ จ.สกลนครอีกท่านหนึ่ง ก็ถูกจับไปยิงเป้า ด้วยข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายในเวลาต่อมา แกนนำคนอื่นๆก็ถูกทางการไล่ล่าเอาชีวิตกันโดยถ้วนหน้า

เรื่องราวของท่านปรีดี พนมยงค์กับขบวนเสรีไทยและกรณีสวรรคต ของ ร. 8  ......เรื่องราวของเสรีไทยบนภูพาน ...... เรื่องราวของนายเตียง ศิริขันธ์และ4 อดีตรัฐมนตรีอิสาน เรื่องราวของครูครอง จันดาวงค์ รวมทั้งเรื่องราวของ“เชียงจ่อย...ชายผู้รู้ใจม้ากับม้าที่รู้ใจคน”    จึงเป็นเรื่องที่คนบ้านผมไม่มีใครกล้าที่จะพูดถึงกัน....จะมีการพูดคุยเล่าต่อกันฟังก็แต่เพียงวงพูดคุยเล็กๆอย่างเช่นผมและเพื่อนๆที่ได้เคยเล่าสู่กันฟังในท้องทุ่งนาเมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็กเลี้ยงควาย

หมายเลขบันทึก: 365668เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2010 06:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 22:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (32)

สวัสดีค่ะ

เป็นบันทึกที่สุดยอดค่ะ  อ่านไปตอนแรก ๆ ยังงงว่าจะเล่าเรื่องการทำงานของคุณสุเทพฯ กะจะเม้นท์เข้ามาหยอกล้อเล่น..  เมื่ออ่านจบก็ถือโอกาสพริ้นต์ออกไปอ่านอีกรอบ  ขอขอบพระคุณกับความรู้นี้นะคะ

ขอบคุณครับคุณครูคิม

ลาหยุดงานเป็นวันหยุดพักผ่อนสบายๆ

เลยนึกถึงวันคืนเก่าๆและเรื่องเล่าในวัยเด็ก

เป็นเรื่องเล่าของเด็กเลี้ยงควายครับ

สวัสดีค่ะ

 เป็นหวลรำลึกถึงเรื่องเล่าเก่า ที่ประทับใจ  และได้รับความรู้มากมาย....

และข้อความนี้ ประทับใจมากค่ะ

 

  “วัตถุประสงค์ของเราที่ทำงานคราวนี้มีจำกัด และมีเงื่อนเวลาสิ้นสุด กล่าวคือ เมื่อสภาพการณ์เรียบร้อยลงแล้ว ก็จะเลิก สิ่งที่เหลืออยู่ในความทรงจำของเราทั้งหลายก็คือ มิตรภาพอันดี ในทางส่วนตัวที่เราได้ร่วมรับใช้ชาติด้วยกันมา โดยปราศจากความคิด ที่จะเปลี่ยนสภาพองค์การ ให้เป็นคณะหรือพรรคการเมือง”

......."ล้วนเป็นการกระทำเพื่อชาติโดยแท้ ไม่มีวาระซ่อนเร้นที่จะเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะตัวแอบแฝงมากับงาน ภารกิจของขบวนการเสรีไทยเป็นไปในลักษณะเฉพาะหน้า เฉพาะกิจ เฉพาะกรณีเมื่อจบภารกิจก็ยุติบทบาทสลายกำลัง - วางอาวุธ !

 

ขอบคุณบทความที่แสนวิเศษนี้ค่ะ...

อยากให้ทุกคนได้อ่าน...จัง

 

 

นึกถึงเื่ื่รื่อง horse whisperer ค่ะท่านเทพฯ พักผ่อนเติมพลังเต็มที่ คิดว่าท่านเทพอยู่เรณูนครซะอีด กาฬสินธุ์มีพิพิธฯไดโนเสาร์ด้วย? คะ

ส่วนเนื้อหาในบันทึกนี้ น่าสนใจมากๆ ค่ะ ขอสำเนาไปอ่านต่อที่บ้านดีกว่า ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับคุณแม่น้องนุ๊ก_น้องเน

คุณครูใจดี P

ขอบคุณบทความที่แสนวิเศษนี้ค่ะ...

อยากให้ทุกคนได้อ่าน...จัง

ขอบคุณคุณครูที่ชอบเรื่องเล่าของเชียงจ่อยเด็กเลี้ยงควายครับ

 

สวัสดีครับคุณปูP

เรื่องhorse whispererชอบมากครับทั้งเสียงเพลงและบรรยากาศสุดยอดครับ

เพียงแต่ให้ความรู้สึก...เหงาปวดร้าวใจไปหน่อย

(เพียงแต่สวรรค์ไม่ทรมานใจกันไปหน่อยเหรอ)

ขอบคุณครับที่อ่านเรื่องเล่าของเชียงจ่อยเด็กเลี้ยงควาย

ยินดีครับคุณครูกระแต

บ้านเกิดเมืองนอนผมอยู่ไม่ไกลบ้านครูกระแต

ผ่านแค่โพนทองอำเภอเดียว

ขอบคุณครับ

พักผ่อนก่อนเถอะครับพี่ แล้วมารวมพลังอีกครั้งหนึ่ง

เรียนท่านสุเทพ

  แวะมาฟังนิทานด้วยคนนะคะ สนุกดีค่ะ

สวัสดีค่ะท่านเทพฯ สบายดีนะคะ ... เรื่องราวความสำเร็จของกลุ่มเสรีไทย น่ายกย่องและภาคภูมิใจค่ะ

สวัสดีครับหมูแดงอวกาศ

  • กลับมาแล้วครับ พร้อมลุยกับกิจกรรม Dialogue วันที่ 21- 22 มิ.ย.53
  • วันนั้นจะได้เติมพลังใจให้กันและกันอย่างเต็มที่
  • เปิดวง Dialogue นอกสถามที่ครั้งนี้เพื่อนๆตอบรับอย่างล้นหลามก็ดีใจครับ กับการเรียนรู้ร่วมกัน การจะได้พูดคุยกันด้วยสุนทรียะ
  • ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะ

มาชวนไปเที่ยวดอยมูเซอค่ะ จัดค่ายเยาวชนค่ะ

ขอบคุณครับคุณ "คุณยาย"P

  • ยินดีที่ได้รู้จักครับ
  • เจอคุณ "คุณยาย"ขนาดนี้ผมจะไม่เป็นคุณ "คุณทวด"หรือครับนี่
  • รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณ "คุณยาย"ชอบนิทานเด็กเลี้ยงควาย

ขอบคุณครับคุณครูคิมP

  • ชวนไปเที่ยวดอยมูเซอ จัดค่ายเยาวชน
  • ค่ายเยาวชนฯ ครั้งนี้มีกำหนด ๔ วัน ๓ คืนคือวันเสาร์ที่ ๒๔ กรกฏาคม - วันอังคารที่ ๒๗ กรกฏาคม  ๒๕๕๓
  • สนอยู่หรอก..อยากไปเยี่ยมเรือนละหู่หนานเกียรติ..ทำไงดีพึ่งจะลาหยุด
  • ขอดูอีกทีครับ  ขอบคุณครับคุณครูคิม

สวัสดีครับคุณปูP

  • กลับมาแล้วครับคุณปู  ช่วงนี้เตรียมพร้อมที่จะลุยกับกิจกรรม Dialogue ของที่ทำงานในช่วงวันที่ 21- 22 มิ.ย.53 นี้ครับ
  • แต่ช่วงวันที่ 17 -18 จะล่องใต้ครับไปบ้านคุณปูนครศรีฯ ที่คีรีวงไปร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆที่ทำงานทีมภาคใต้ที่นั่นครับ
  • มีเรื่องจะเล่า มีความในใจจะบอกเยอะแยะ...หากแต่เก็บเอาไว้
  • ขอบคุณครับ

 

แวะมายี่ยม ทักทาย และตามมาดูรูปถ่ายบรรยากาศการเรียนรู้ที่ชุมชนคีรีวงเมื่อวานนี้ ซึ่งเมื่อตอนเช้านี้มีกิจกรรมออกกำลังกายตอนเช้าโดยการเดินขึ้นภูเขา เพื่อชมวิถีชีวิตชาวสวน "สมรม" แต่พี่สุเทพไม่ได้ไป บอกว่ากำลังโหลดภาพถ่ายอยู่ ก็เลยจะตามมาดูและจะบอกว่าน่าเสียดายที่พี่ไม่เห็นบรรยากาศการทำ " กิจกรรมออกกำลังกาย" ของทีมภาคใต้เมื่อเช้านี้น่าประทับใจมาก เดินไปพลางคุยกันไปตามประสาพี่น้อง ดูวิถีชีวิตชาวสวน พร้อมกับหลบหลีกรถมอเตอร์ไซด์ชาวสานที่กำลังขึ้นไปทำสวนในตอนเช้า เนื่องจากเส้นทางเล็กแคบ ต้องคอยตะโกนกันว่า รถมา หลบด้วย และจากระยะทางประมาณ 900 เมตรพวกเราก็มาถึงจุดพักซึ่งเป็น"วังปลา " ที่เลี้ยงในลำน้ำธรรมชาติ จำนวนนับพันนับหมื่นตัว ซึ่งแกนนำที่ใจดี พี่เล็ก (คุณนิพัทธ์ บุญเพ็รช) รองนายกอบต กำโลน และเป็นเจ้าของสถานที่พักและที่ประชุมครั้งนี้ ได้ถืออาหารปลาจำ นวนหนึ่งติดไม้ติดมือไปด้วย จากนั้นพวกเราและน้อง ๆสาวๆงานสนับสนุนของสนง. ภาคใต้ ก็ได้ให้อาหารปลาด้วยความตื่นเต้นกับจำนวนอันมากมาย พร้อมชื่นชมธรรมชาติท่ามกลางหุบเขาอย่างมีความสุขส่วนภาพบรรยากาศดังกล่าวอยู่ที่ติ๊ดตี่ค่ะ จะช่วยเร่งให้นำมาลงเร็ว ๆนี้และต้องขอบคุณพี่สุเทพที่ได้มาช่วยเติมเต็มและสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้คร้งนี้ด้วย ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับพัชนีP

ภาพบรรยากาศการสัมมนาและการดูงานที่คีรีวงพี่นำไปไว้ที่facebook ครับ

ดูได้ที่

http://www.facebook.com/profile.php?id=100000491367480#!/album.php?aid=21687&id=100000491367480

ขอบคุณมากที่ชวนไปร่วมเรียนรู้แลกเปลี่ยน โดยเฉพาะบรรยากาศDialogue ยามค่ำคืน

ริมสายชลเยี่ยมมากเลยประทับใจครับ

ท่านเทพฯ สบายดีไหมคะ ชีพจรลงเท้าณ แห่งหนใดคะ งานเข้าอีกรึคะ

คราก่อนครบ๒ ปีท่านเทพไปย้อนรำลึก นี่ครบอีกปีแล้วค่ะ เอ ทำไมเร็วจัง

เพราะงานเยอะใช่ไหมคะ เป็นกำลังใจกับการงานที่มีคุณค่าคะทานเทพฯ

สวัสดีครับพี่สุเทพ

"เราทั้งหลายได้ถือเป็นหลักเป็นคติในการรับใช้ชาติครั้งนี้ว่า เรามุ่งจะทำหน้าที่ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคนไทย ซึ่งจะต้องสนองคุณชาติ เราทั้งหลายไม่ได้มุ่งหวัง ทวงเอาตำแหน่งในราชการมาเป็นรางวัลตอบแทน การกระทำทั้งหลาย ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของบุคคล หรือหมู่คณะใด แต่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้งมวล การกระทำคราวนี้มิได้ตั้งเป็นคณะหรือพรรคการเมือง แต่เป็นการร่วมงานกันประกอบกิจ เพื่อให้ประเทศไทยได้กลับคืนสู่สถานะก่อนวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484......

“วัตถุประสงค์ของเราที่ทำงานคราวนี้มีจำกัด และมีเงื่อนเวลาสิ้นสุด กล่าวคือ เมื่อสภาพการณ์เรียบร้อยลงแล้ว ก็จะเลิก สิ่งที่เหลืออยู่ในความทรงจำของเราทั้งหลายก็คือ มิตรภาพอันดี ในทางส่วนตัวที่เราได้ร่วมรับใช้ชาติด้วยกันมา โดยปราศจากความคิด ที่จะเปลี่ยนสภาพองค์การ ให้เป็นคณะหรือพรรคการเมือง”

ประทับใจมากครับ

ทำให้ผม มีแรงบันดาลใจอย่าเขียนเรื่องราวของขุนศึกคู่ใจ พระนางเจ้าจามเทวี ชื่อขุนหลวงมะลังกะ ชาติพันธ์ลัวะ ที่เป็นรากเหง้าเผ่าพงษ์คนล้านนา

แต่ขอศึกษาข้อมูลอีกสักหน่อยครับพี่

ฝน

พี่สุเทพ เป็นอย่างไรบ้างครับประสบอุบัติเหตุ เป็นห่วงมากครับและดูแลตัวเองด้วยครับ

หมูแดง

สวัสดีครับคุณปูP

  • ชีพจรลงเท้าสัญจรมาขอนแก่นจะต่อไปสารคาม
  • ร่วมสัมนาศูนย์การเรียนรู้ชุมชน
  • ระหว่างทางมีอุปสรรค...เลยต้อพักอยู่ขอนแก่นหลายวัน
  • เจออุบัติเหตุบาดเจ็บเล็กน้อย...
  • วันจันทร์หมอน่าจะให้เดินทางกับได้ คงเดินทางกับกรุงเทพเลย
  • ขอบคุณครับ

ฝนครับP

  • จะรออ่าน
  • เรื่องราวของขุนหลวงมะลังกะขุนศึกแห่งชาติพันธ์ลัวะ
  • คือขุนศึกคู่ใจ พระนางเจ้าจามเทวี
  • จะคอยติดตามครับ..
  • และรออ่านเรื่องเล่าเร้าพลังของกลุ่ม COP "Roadmapความสุขมวลรวมชุมชนท้องถิ่น"
  • ขอบคุณครับ

หมูแดงอวกาศครับP

  • เป็นอุบัติเหตุครับ
  • พักรักษาตัวที่ขอนแก่นอีก 2-3 วันก็กลับบ้านได้
  • คงกลับไปตั้งหลักกลุ่มCOP.ให้ได้ในเบื้องต้นก่อนแล้วค่อยพักที่บ้าน
  • ขอบคุณครับ

สี่รัฐมนตรีผมนำเสนอในรายการไปหลายครั้งแล้วครับ ประทับใจมาก ผมจะนำเรื่องในบันทึกท่านไปนำเสนออีกนะครับ

ขอบคุณครับคุณเบดูอินP

  • เรื่องราวของขุนพลแห่งภูพานและสี่รัฐมนตรีอิสาน
  • กลไกรัฐส่วนกลางจงใจที่จะให้ลืม..
  • พร้อมกับจงใจที่จะให้ลืมรากเหง้าความป็น "สยาม"
  •  24 มิ.ย.2482 เปลี่ยนจากความเป็นสยามสู่ความเป็นไทย
  • เปลี่ยนชื่อประเทศ จาก ประเทศสยาม เป็น ประเทศไทย
  • แล้วคนไทยหรือเปล่า เปล่าเราเป็นสยามมาจากความหลากหลายแต่เรามีอะไรบางอย่างที่ร่วมกัน..เรามีอะไรบางอย่างที่นับถือ ให้เกียรติ ให้คุณค่าแก่กัน
  • ขอบคุณครับ

สวัสดีครับท่านอาจารย์สุเทพ

เคยอ่านประวัติ ของท่านเตียง ศิริขันธ์ ขุนพลอิสาน และบางตอน จากประชาธิปไตยบนเส้นขนาน

เขียนถึงเรื่องราว เสรีไทย

ชนะกรรมของนักสู้ผู้กล้า อยู่ในประวัติศาสตรืรุ่นเดียวกับ หะยี สุหลงของภาคใต้ครับ

ช่วยกันบันทึกประวัติศาสตร เล่าประวัติศาสตร์ ให้รุ่นหลังได้รับรู้ ถึงเรื่องราวของวิถีคนกล้าในอดีตครับท่านอาจารย์

ท่านวอญ่าครับP

ท่านเตียง ศิริขันธ์ ขุนพลอิสาน

อยู่ในประวัติศาสตร์รุ่นเดียวกับ หะยี สุหลงของภาคใต้

ขอบคุณครับสำหรับเกร็ดประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่น

เรื่องราวที่กลไกรัฐส่วนกลางจงใจอยากที่จะให้ลืม..

ความหลากหลายคือความงดงามของสยามประเทศครับ

เป็นเรื่องราวบทหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยที่มีคนรู้ เข้าใจกันไม่กี่คน ได้มาอ่านเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ระลึกถึงพระคุณของผู้เสียสละทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ทำเพื่อชาติอย่างแท้จริง วิญญาณของท่านเหล่านั้นคงได้ไปสู่สุคติ

น่าแปลกใจกับการบันทึกประวัติศาสตร์ไทยมากค่ะ เพราะมีบทพิสูจน์ทางวิชาการมากมายว่าประวัติศาสตร์ที่เรียน ที่ท่องๆกันถูกเขียนอย่างการแต่งให้เป็นตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียน เราน่าจะหันมาให้ความสนใจในท้องถิ่นให้มากขึ้นอย่างที่อาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดมท่านใช้คำว่า ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สำนึกท้องถิ่น เพื่อให้ชุมชนมีศักดิ์ศรีและเข้มแข็งจากรากของตนเองนะคะ

ขอบคุณค่ะ ชอบเรื่องเล่าของ เชียงจ่อยเด็กเลี้ยงควายนี้มากค่ะ ^___^

 

สวัสดีครับคุณนายดอกเตอร์P

เราน่าจะหันมาให้ความสนใจในท้องถิ่นให้มากขึ้น   อย่างที่อาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม  ท่านใช้คำว่า ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สำนึกท้องถิ่น เพื่อให้ชุมชนมีศักดิ์ศรีและเข้มแข็งจากรากของตนเองนะคะ

ขอบคุณและดีใจครับ ที่คุณนายชอบเรื่องเล่าของ เชียงจ่อยเด็กเลี้ยงควาย

สาวภูไท บ้านคำหว้า

มันเป็นเรื่องแต่งหรือเรื่องจริงคะพี่  สนุกมาก  เหมือนเรียนวิชา  ประวัติศาสตร์อย่างงั้นเลยค่ะ  ขอบคุณเรื่องดีๆ  ที่มีมาให้อ่านค่ะ

ขอบคุณครับ "สาวภูไท บ้านคำหว้า"

  • เป็นเรื่องจริงครับ เค้าโครงเรื่องจากเรื่องเล่าจากความทรงจำในวัยเด็ก
  • แต่เพิ่มเติมข้อมูลที่ได้ศึกษาเรียนรู้เมื่อโตขึ้มาแล้วจัดทำเป็น "เรื่องเล่าเร้าพลัง"
  • Blogนี้ตั้งใจจะเล่าขานตำนานผู้ไท...แต่เริ่มต้นไม่ได้ซักที
  • ขอบคุณครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท