เช้าวันที่ 17 พฤษภาคม 2550 สดใสมาก ฝนพึ่งตกเมื่อคืนและเช้ามืด นึกว่าบรรยากาศอึมครึมจะอยู่ตลอดวันเสียอีก แต่ที่กรุงเทพฯเมืองหลวงและที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย สถานที่จัดงานรำลึกวีรชน 17 พฤษภา 2535 ข่าวบอกว่าฝนตกต่อเนื่องระหว่างพิธีตลอด
บรรยากาศคงเฉกเช่นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ..........................................
..................2535 ผมขึ้น ม.6 ใหม่ ๆ หน้าร้อนปีนั้นผมเข้าออกกรุงเทพฯเพื่อสอบนักเรียนเตรียมทหารรับรู้การเคลื่อนไหวของการเมืองช่วงนั้นโดยตลอดเคยคุยกับช่างตัดผมที่สมุทรปราการท่านหนึ่งในฤดูร้อนแห่งเมษายน ลุงแกบอกว่าอึดอัดกับอำนาจกระบอกปืน สีเขียวและรถถังมาก ๆ ยิ่งด้วยคำตระบัดสัตย์ ของใครคนหนึ่งยิ่งอึดอัดมาก ...........สังคมเวลานั้นเขม็งเกลียวแห่งความรุนแรงมากแล้วรอวันประทุเดือด
เหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องให้นายกลาออกรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และไม่น่าเชื่อว่าจะลงเอยด้วยการสั่งการปราบปรามด้วยกำลังทหารและอาวุธ และแน่นอนการจราจลทั่วกรุงเทพฯ บ้านเมืองบอบช้ำอย่างเห็นได้ชัด ( มีร่องรอยการบอบช้ำรุนแรงบาดเจ็บ เลือดน้ำตา คงอยู่ แม้หลังจากวันที่ 17 พ.ค.35 ถึงวันนี้ ) เหตุการณ์แย่มาก ๆ ในขณะที่เครือข่ายชนชั้นกลางผู้ใช้โทรศัพท์มือถือรายงานข่าว ส่งแฟกซ์ ข้อเท็จข้อจริง ส่งจากเมืองหลวงมากมาย ผมอยู่นครนายก ได้รับรู้โดยตลอดมีบางส่วนเข้าไปร่วมกับผู้ชุมนุมในกรุงเทพฯ
เวลานั้นผมและเพื่อนๆ ส่วนหนึ่งอยากไปมาก ๆ แต่ผู้ปกครองห้ามไว้ รวมทั้งมีการสั่งการไม่ให้รถโดยสารทุกเที่ยวทุกสายเข้าไปกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งเหมือนอีกด้านกำลังปิดหูปิดตาประชาชนทุกรูปแบบ ผมกับเพื่อน ๆ ส่วนหนึ่งเขียนป้ายต่อต้านอำนาจเผด็จการและความรุนแรงไปติดหลายแห่งในตัวเมือง
เหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 15 16 และก็แตกหักในวันที่ 17 จากนั้นช่วงดึกผมก็เห็นในหลวงทรงรับสั่งว่า "ไม่มีใครชนะ มีแต่แพ้ ผู้แพ้ที่สุดก็คือคนไทย ประเทศไทย" เหตุการณ์ทั้งหมดสิ้นสุดได้เพราะพระบารมีปกเกล้า ........................แต่คนไทยก็สูญเสียหลายอย่างไปมาก เพราะคนไทยด้วยกัน
ไม่มีเหตุผลฝ่ายใดที่ถูกหรือผิด ภายหลังมีการนิรโทษกรรมทั้งหมด มีการพยายามลบเหตุการณ์เรื่องราว ลบความปวดร้าวเจ็บปวดเหมือน 14 ต.ค. 16 และ 6 ต.ค.19
ไม่น่าเชื่อว่า 17 พ.ค.35 จะกลับมาซ้ำรอยเดิมแห่งประวัติศาสตร์แห่งการขัดแย้ง และอำนาจ ฤาอาจเป็นการแสดงอัตตาแห่งผู้กุมอำนาจยุคศักดินารุ่นสุดท้ายแห่งยุค ฤาอาจเป็นสิ่งสะท้อนความรุนแรงในจิตใจส่วนลึกของคนไทย ฤาอาจเป็นแนวทางสู่การล้มล้างกำแพงแห่งการถือดี ฤาอาจเป็น..........................
แต่มันเพียงพอสำหรับการรับรู้เรียนรู้แห่งการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยของสังคมไทย เพียงพอสำหรับเลือดน้ำตาแห่งความขัดแย้งและห้ำหั่น เพียงพอสำหรับการพลิกผันของระบบการเมืองการปกครองแบบนี้ที่เริ่มกันมาจาก 2475
วันนั้น 23 พฤษภาคม 2535 หลังจากเกิดเหตุการณ์ร้าย 7 วัน ผมและเพื่อน ๆ เดินทางไปเมืองหลวงไปซึมซับเหตุการณ์ร้ายของพี่น้องวีรชนผู้สละชีวิตเลือดเนื้อวิญญาณ ไปสดุดีและแสดงมุทิตาจิตคารวะแก่ทุกคนที่ยังอยู่และไม่อยู่ บรรยากาศแห่งความเคียดแค้นคุกรุ่นทั่วไปในห้วงเวลานั้น ที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ผมฟังอาจารย์แก้วสรร อภิปรายอย่างนักวิชาการและนักต่อสู้ วันนั้นไม่ใช่การก่นด่าและรื้อฟื้น ปลุกระดม แต่เต็มไปด้วยการสร้างพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงในภายภาคหน้า การปรับตัวของสังคมไทยครั้งใหม่ การร่วมกันสร้างสังคมใหม่
เสื้อยืดสีขาวที่หน้าหอประชุม พิมข้อความบางอย่างและตัวเลข 60 ปี ประชาธิปไตยไทยขณะนั้น ผมสะท้อนใจว่า เวลายาวนานขนาดนั้นผู้คนในสังคมเราไม่ได้เรียนรู้วิธีการประชาธิปไตยที่ถูกต้องเลย ผู้มีอำนาจไม่เคยคิดติดอาวุธความรู้แก่ประชาชน มีแต่ติดอาวุธ เงินทอง อำนาจยึดครองแก่พวกพ้อง แล้ววันนี้มันก็ตามมาเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากตัวท่านและสังคมไทยไปหมด "คนที่แพ้จริงๆ คือประเทศไทย" ตามที่ในหลวงทรงตรัสไว้จริง ๆ
คืนนั้นผมเดินหาที่นอนกับเพื่อน ๆ ได้ ณ ค่ายทหารแห่งเมืองหลวง บรรยากาศยังเข้มงวดและคำสั่งเตรียมพร้อม ญาติของเพื่อนผมซึ่งเป็นทหารเตรียมเป้ใบใหญ่ภายในบรรจุสัมภาระตามคำสั่งเตรียมพร้อมแห่งสถานกาณ์คับขัน ผมหลับไปด้วยความเคียดแค้นแห่งคำสั่งและวินัยทหารที่กลับมาเข่นฆ่าพี่น้องไทย แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะลุกไปต่อยหน้าใคร เพราะทุกคนมีหน้าที่ หน้าที่อยู่เหนือเหตุการณ์ หน้าที่อยู่เหนือญาติพี่น้อง เพื่อน คนรัก ............ผมไม่นึกโกรธใครตั้งแต่วันนั้น.........และรับเอาไว้ได้แห่งเหตุการณ์ทั้งมวลและพลันนึกถึงพี่น้องวีรชนคนตุลา
ประวัติศาสตร์ไม่ใช่ความแค้นเคือง มีแต่การให้อภัยแก่อวิชาของกันและกัน แต่เราไม่เคยนำมาใช้เป็นบทเรียน และลืมเรื่องราวเหล่านั้น ยิ่งเราลืมเราก็จะยิ่งพบเจอการกลับมาของประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย
เราจะลืม และทิ้งประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยชีวิต น้ำตา ความสูญเสีย การเสียสละ อุดมการณ์ ผู้บริสุทธิ์ อย่างนั้นหรือ
สิ่งมีค่ามากมายผู้คน สังคมไทยทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
หากความโกรธเคืองยังอยู่ผมก็มีความรู้สึกนี้ต่อสังคมไทยที่ทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังโดยไม่ใส่ใจและเห็นคุณค่าเลย
ขอให้ทุกคนหลับให้สบาย ครับ
ผมจะช่วยดูแลประเทศไทย
ยินดีมากครับที่ได้พบกับคนพฤษภา ตัวจริง ผมอยากมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ แล้วบันทึกไว้ ผมว่าความสมบูรณ์ทางประวัติศาสตร์จะมีมากกว่า 14 , 6 ตุลาด้วยซ้ำ
และจะเป็นบทเรียนของประชาธิปไตยไทยที่ดีมากด้วย เพราะเป็นประวัติศาสตร์ยุคใหม่ และเทียบเคียงกับการเมืองปัจจุบันได้อย่างดี
ในแง่ของการศึกษานะครับ คุณค่าพวกนี้น่าจะพูดกล่าวถึงกัน
ตอนผมเรียน ม. 3 ตอนนั้นยังไม่มีเหตุการณ์พฤษภา มีอาจารย์สังคมท่านหนึ่ง จบ มช. ท่านไฟแรงมาก กล่าวถึงเหตุการณ์ตุลา และ กลุ่มคนที่ทำงานเพื่อสังคม อย่างรางวัลแมคไซไซ เป็นต้น แต่ก็นั่นล่ะครับ ในหลักสูตรไม่มี ตอนนั้นผมยังงงว่าอาจารย์ทำไมไม่สอนในหนังสือ
ประวัติศาสตร์ไทยไม่เคยกล่าวในเรื่องความผิดพลาดไว้หรอกครับ บางทีผมก็หมดหวังเหมือนกัน "ประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะ" คงเป็นความจริงตลอดการ เช่นเดียวกับกรณีของเพื่อนบ้านและไทย ที่ประวัติศาสตร์ไม่เหมือนกัน ไทยเองก็ไม่กล่าวชัดเจนเน้นไปที่เหตุเสียกรุงซะเท่าไหร่ เน้นประเด็นโหดของเพื่อนบ้านอย่างเดียว
ตอนนั้นกำลังหางานทำพอดี เพราะเพิ่งเรียนจบจากบางแสน ไม่สามารถไปไหนได้เลย
รถเข้า-ออกกรุงเทพงดการเดินทางเป็นระยะ
.
เหตุการณ์ผ่านไป ผู้เหลืออยู่คือใคร ผู้ที่จากไปคือใคร
ประวัติศาสตร์ ควรจดจำ
ยินดีที่ได้ยินเช่นนั้นครับ
เหตุการณ์ผ่านไปแล้วแต่ สิ่งเหลืออยู่ ประวัติศาสตร์ ควรจดจำ ครับ และควรจดจารด้วยนะครับ
ขอบคุณพี่แผ่นดินครับ บันทึกประวัติศาสตร์หน้านี้ กระจัดกระจายอยู่เยอะ แต่ในด้านขอเท็จจริงก็เยอะตามไปด้วยเพราะผู้คนยุค 35 นั้นเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสารแล้ว แม้สื่อจะมีข้อจำกัดอยู่มากก็ตาม
ที่สำคัญเหตุการณ์ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนวัยหนุ่มที่สมองยังแจ่มชัดในลำดับเหตุการณ์
น่าเสียดายหากประวัติศาสตร์ด้านมืดที่เป็นอุทาหรณ์ของความสว่างหน้านี้ก็จะหายไป เลือนไป และไร้ทิศทาง ดั่ง 14 และ 9 ตุลา ในที่สุด
ผมเกรงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครับพี่ แผ่นดิน
แต่ที่สำคัญ บรรยากาศแบบนั้นมันก็จะกลับมาอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่หลายคนรู้ดีว่ามันเลวร้ายแค่ไหน
ไม่น่าเชื่อครับ ใคร คนตุลา คนพฤษภา ญาติวีรชน หหาร ตำรวจ นักศึกษา เราจะช่วยกันหยุดวิกฤต ได้ไหมครับ ขนาดในหลวงเองท่านก็พยายามในพระราชภาระกิจของท่านอย่างเต็มที่ แต่ไม่ทราบว่าคนไทยเราพยายามหยุดวิกฤตกันไหม หรือจะปล่อยให้ประวัติศาสตร์มันย่ำ ซ้ำรอยเดิมอยู่อย่างนี้
ขอบคุณพี่แผ่นดินครับที่ร่วมบันทึก
สวัสดีครับ
สบายดีไหมครับ
ผมได้นำข้อความบางตอนไปนะครับ ขอบคุณมากครับ
ยินดีมาก ๆ ครับคุณสิทธิรักษ์