KM ในปัจจุบันดำเนินการตามปรัชญาใหม่ เปลี่ยนจากการคิดเชิงเส้นตรง เป็นแนวคิดที่ไม่เป็นเส้นตรงและไม่มีรูปร่างคงที่ มีความเชื่อว่าระบบผุดบังเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนภายในสภาพแวดล้อมที่นับวันก็มีความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ใช่เป็นระบบที่ออกแบบตามแนวคิดจากเหตุสู่ผล
ทฤษฎีกลุ่มหนึ่งทีเรียกรวม ๆ ว่า ทฤษฎีความซับซ้อน (Complexity) ได้สร้างโลกทัศน์ใหม่เกี่ยวกับองค์กรและเกี่ยวกับ KM คือมององค์กรเป็น "ระบบที่ซับซ้อนและปรับตัว" (complex adaptive systems) มีระบบซ้อนระบบ มีอนุระบบอยู่ภายในระบบ ซึ่งรูปแบบของพฤติกรรมอยู่ในสภาพที่คาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ และทำให้เกิดซ้ำก็ไม่ได้
พฤติกรรมที่ซับซ้อนของระบบเกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างหลากหลายกลุ่มของปัจเจกบุคคล และเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลเหล่านี้กับสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กร
สมมติฐานเดิมว่าผลลัพธ์เป็นสิ่งที่คาดคะเนได้ ถูกแทนที่ด้วยสมมติฐานใหม่ว่าการปรับตัวและการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นเพียงสิ่งปกติ แต่เป็นคุณสมบัติพื้นฐานขององค์กร
ความมุ่งมั่น (purpose) ขององค์กรไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปตามสมมติฐาน แต่เป็นสิ่งที่ผุดบังเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ขยายตัวออกไป แล้วผุดบังเกิดใหม่ในรูปแบบใหม่ ในลักษณะที่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร กับสภาวะแวดล้อมขององค์กร
แนวคิดดังกล่าวนำไปสู่การจัดองค์กรแบบใหม่ ที่เน้น "การไม่มีลำดับชั้น" (hyperarchy) เหนือการมีลำดับชั้น (hierarchy) เน้นชุมชนแนวปฏิบัติและทีมงานเสมือน ไม่ใช่เน้นการจัดการโดยตรง แนวคิดนี้เปลี่ยนโลกทัศน์ของพนักงานระดับปฏิบัติต่อองค์กร ไปสู่วงจร map-build-operationalize
ตัวอย่างจริง
บริษัทที่ปรึกษากฎหมายแห่งหนึ่งต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน ตระหนักว่าแนวทางปฏิบัติ KM ที่ใช้อยู่มีข้อจำกัด จึงเปลี่ยนแนว แทนที่จะพยายามออกแบบกิจกรรมที่ชัดเจนสำหรับอนาคตที่ไม่ชัดเจน บริษัทหันไปใช้ "emergent KM strategy" โดยเน้นการสร้างบริบทที่ส่งเสริมนวัตกรรม สร้างความร่วมมือ ความเชื่อมโยง และเครือข่าย
Ref. Standards Australia. Knowledge management - a guide. AS 5037 - 2005
วิจารณ์ พานิช
3 มิ.ย.50
Blog ของ gotoknow วันนี้มี คนสร้าง ความรู้ -->ขยะข้อมูล (เขียนบันทึก) เยอะมาก คนมารับความรู้ (อ่านบันทึก) เยอะกว่า แต่ว่าความรู้ที่เกิดจากการ collaboration จนเกิดความรู้ใหม่(อ่านบันทึกแล้วเอาความรู้ตนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้) นั้น……
เมื่อใดหนอจะมีคนเข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่านอาจารย์เยอะๆ จนเกิดเป็น“ปฏิสัมพันธ์ระหว่างหลากหลายกลุ่มของปัจเจกบุคคล และเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลเหล่านี้กับสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กร” และสุดท้ายเกิดเป็น “ความรู้ใหม่”