มงคลชัย วิริยะพินิจ บอกว่า คนไทยมีลักษณะ
• เรียนรู้จากพ่อแม่ เป็นแหล่งหลัก
• พ่อแม่ตัดสินใจให้ลูกๆ
• ลูกๆ ได้รับอิทธิพลจากพ่อแม่มาก
สังคมไทยไม่ได้มีลักษณะเดียวกันทั้งหมด ลักษณะข้างบนจะเป็นจริงต่อคนไทยส่วนใหญ่หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ เพราะไปทางไหนก็ได้ยินแต่คนที่มีปัญหาลูกไม่เชื่อฟัง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดในเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว กับความสามารถในการใช้เครื่องมือ KM
ได้กล่าวแล้วว่า การใช้ KM เป็นการฉกฉวยวิกฤติเป็นโอกาส ฉวยเอาธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ในการสร้างสรรค์โดยการทำงาน และเรียนรู้ร่วมกัน
ผมมีความเชื่อว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องการความสุขชนิดที่เรียกว่า social health คือมีความสุขเมื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม หรือหมู่คณะ มีสุขเมื่อได้รับการยอมรับจากคนอื่น ผมพูดว่า มนุษย์เราบ้ายอทุกคน
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่พึ่งพิงพ่อแม่ หรือเป็นคนพึ่งตนเอง ก็ไม่น่ามีผล ในเมื่อเราใช้วิธีกระตุ้นด้วยการชวนเล่าเรื่องราวที่ภูมิใจ ในบรรยากาศชื่นชม เราจะเห็นความเป็นตัวของตัวเองเปล่งประกายออกมาทุกคน
วิจารณ์ พานิช
28 ก.ค. 50
ดิฉันเห็นด้วยกับที่ท่านบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่พึ่งพิงพ่อแม่ หรือเป็นคนพึ่งตนเอง ก็ไม่น่ามีผลmujเป็นอุปสรรคต่อ KM
ดิฉันมีประสบการณ์เรื่องนี้ กล่าวคือ เมื่อลูกเล็กๆ เลี้ยงลูกแบบทะนุถนอมและเป็นคนวางแนวทางให้ทุกอย่างในช่วงต้นของชีวิต แต่พออายุ 11ขวบ เขาเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ จะฟังและแคร์พ่อแม่มาก
พอไปเรียนต่อต่างประเทศ จะพัฒนาเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง ตัดสินใจเอง พอทำงานก็ก้าวหน้าดี แต่ความรักห่วงใยพ่อแม่ ไม่น้อยลงเลย
สรุปว่า วัฒนธรรมไทยไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำKMค่ะ ถ้าเราจะจัด timing ที่เหมาะสม จังหวะเวลาที่จะปล่อยให้ลูกรู้จักพึ่งพิงตัวเอง รู้จักคิดเอง ให้เป็นผู้ใหญ่ (กว่าอายุ) ไม่ใช่คอยไปจูงลูกอยู่ตลอดเวลา