o KM เป็นเรื่องของการสร้างความรู้ขึ้นใช้เอง ในทันใดของการใช้ความรู้นั้น
o ในกระบวนการ “สร้าง” ความรู้ในทันใดนั้น จะต้องเอาความรู้ที่พร้อมใช้มาจากที่อื่น หรือจากภายในตน เอามา “ปรับ” ในทันใด ให้เหมาะแก่สถานการณ์นั้น เกิดเป็น “ความรู้เพื่อใช้งานเฉพาะสถานการณ์”
o ใน KM ผู้เกี่ยวข้องจึงต้องมีความสามารถในการตีความบริบท หรือทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันในขณะนั้น เกิดเป็น “ความรู้” เกี่ยวกับบริบท ซึ่งเป็น “ความรู้ฉับพลัน”
o คนที่ฝึก KM อยู่เสมอในชีวิตประจำวัน จึงมี “ความรู้ฉับพลัน” ที่ชัด คม แม่น
o “ความรู้ฉับพลัน” เกี่ยวกับบริบทนั้นๆ นี้เอง ที่เราเอาไปต่อ หรือผสม กับ “ความรู้พร้อมใช้” ที่เราทุกคนต่างก็ผลิต “ใส่ตู้เย็น” สมองไว้ เป็นความรู้ “ตัวแบบ” เฉพาะของแต่ละคน คนเก่งๆ จะมี “ตัวแบบ” จำนวนมาก และดึงลิ้นชักเอาตัวแบบออกมา ได้เร็วฉับพลัน
o “ความรู้ตัวแบบ” ผสมกับ “ความรู้ริบท” ได้เป็น “ความรู้ปฏิบัติตามสถานการณ์” และลงมือทำทันใด
o ขั้นตอนข้างบนเกิดขึ้นภายในเวลาเสี้ยววินาที โดยเราไม่รู้ตัว เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
o จะว่าไม่รู้ตัวทั้งหมดก็คงไม่ถูก เพราะคนที่มีสติตื่นรู้สูง (จากการฝึกฝน) จะสามารถเก็บข้อมูลสถานการณ์ได้ละเอียดกว่า แม่นยำกว่า ชัดเจนกว่า และเอามาประมวลเป็นความรู้บริบทที่มีคุณภาพดีกว่า ดีกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด
o คนที่สั่งสม “องค์ความรู้” เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้มาก และเคยทดลองใช้ในสถานการณ์ต่างๆ มาก จะมี “ความรู้พร้อมใช้” เกี่ยวกับเรื่องนั้น เป็นตัวแบบ (pattern) จำนวนมากมาย ไว้ให้เลือกใช้ตามสถานการณ์ ให้เลือกแบบไม่ต้องคิด หรือเป็นอัตโนมัติ นั่นเอง
วิจารณ์ พานิช
๕ มี.ค. ๕๑
ถ้าเรามีศักยภาพที่จะปั้นความรู้ได้แบบนี้มากๆ ก็คงดีค่ะ