• KM คือเครื่องมือทำให้เกิด “ทวิภพ” หรือ “ทวิวัฒนธรรม” ขึ้นภายในองค์กร
• เพื่อให้ “ภพ” หรือ “วัฒนธรรม” ที่แตกต่างกันคนละขั้ว ส่งพลังเสริมซึ่งกันและกัน เกิด synergy
• “ภพ” หนึ่งคือองค์กรแบบปิระมิด หรือวัฒนธรรมอำนาจ วัฒนธรรมแนวดิ่ง ควบคุมสั่งการ
• อีก “ภพ” หนึ่งคือองค์กรแนวราบ วัฒนธรรมเอื้ออำนาจ ให้อิสระในการคิดและริเริ่มสร้างสรรค์
• KM เป็นเครื่องมือสร้าง “พื้นที่ร่วม” (Common Space) ของคนทุกระดับในองค์กร เข้ามา ลปรร. ท้าทายและชื่นชมผลสำเร็จกัน สงสัยและตีความผลสำเร็จร่วมกัน เกิดความรู้ใหม่ยกระดับขึ้นไป เป็น Knowledge Spiral ที่เกิด Knowledge Leverage
• “พื้นที่ร่วม” คือพื้นที่แห่งความเท่าเทียม ทุกคนถอดหัวโขนออก ใช้ความสัมพันธ์แนวราบ
• องค์กรใดจัด “พื้นที่ร่วม” ได้อย่างมีชีวิตชีวา มีความเป็นธรรมชาติ ไม่ถูก “ภพปิระมิด” ครอบงำ จะสามารถใช้เครื่องมือ KM ได้อย่างทรงพลัง เกิดความริเริ่มสร้างสรรค์ที่เสริมพลังกันทั่วทั้งองค์กร ในทุกระดับของพนักงานและผู้บริหาร
วิจารณ์ พานิช
๕ พ.ค. ๕๑
ทุกย่อมระงับได้ที่เหตุแห่งทุกข์
ทุกข์ของมหาวิทยาลัยไทยที่มีจำนวนเป็นร้อย คือ ทุกแห่งยังไม่มีคุณภาพ
หลักฐานคือ จุฬาฯมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของไทยยังติดถึงอันดับที่ 233 ของโลกจากการจัดอันดับของนิตยสารไทม์
เมื่อเหตุแห่งทุกข์เป็นเพราะไม่มีคุณภาพ...วิธีดับทุกข์ก็คือทำมหาวิทยาลัยให้มีคุณภาพ..ก็แค่นั้นเอง
หลักประกันคุณภาพมหาวิทยาลัยตามมาตรฐานสากลคือ"ระบบ"(System)
การออกแบบระบบ(System Design)ให้มหาวิทยาลัยคือประตูสู่การมีคุณภาพดับทุกข์มหาวิทยาลัยได้
มหาวิทยาลัยใดอยากมีคุณภาพก็ต้องพยายามศึกษาให้รู้วิธีการออกแบบระบบ
ขอบอกเอาบุญว่า..จุฬาฯสามารถติดอันดับไม่เกินตำแหน่งที่ 50 ของโลกอย่างแน่นอนถ้ารู้วิธีออกแบบระบบ System Design ดังกล่าว
จะออกแบบระบบได้ต้องเข้าใจ Knowledge Management System หรือ KM.System เสียก่อน..โดยเปิดดูที่ Wikipedia
ประเด็นสำคัญของการออกแบบระบบอยู่ที่การสร้างเรื่องต่างๆทุกเรื่องของการบริหารมหาวิทยาลัยให้เป็นระบบ(ตามมาตรฐานสากล)โดยทุกระบบต้อง
1. มีเป้าหมาย(Objective หรือ Purpose)
2. มีวิธีปฏิบัติ(Procedures หรือ Processes)แสดงขั้นตอนความสำเร็จของแต่ละระบบ
3. ระบุหัวข้อสำคัญอื่นๆของระบบ เช่น Policy, Scope, เป็นต้น
ประโยชน์ของความสามารถในการออกแบบระบบ Knowledge Management System
1. ทำให้มหาวิทยาลัยไทยพากันติดอันดับสูงของโลก เนื่องจากมี"ระบบ"เป็นหลักประกันคุณภาพเพราะ"ระบบ"เป็นตัวป้องกันข้อบกพร่องที่ทำให้ไม่มีคุณภาพ
2. ทำให้การบริหารทุกคณะในมหาวิทยาลัยมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน บุคคลากรทุกคนเข้าใจตรงกัน
3. ป้องกันความผิดซ้ำซากที่เกิดจากความพยายามลองผิดลองถูก(Reinventing the wheel)
4. ลดการเสียเวลาเพราะไม่มีระบบ
5. ระบบสร้างความชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องเสียเวลาฝึกอบรมบุคคลากรบางเรื่อง
6. แม้จะมีคนเก่งลาออกไป ระบบช่วยให้งานเดินต่อได้โดยไม่มีอุปสรรค
ที่สำคัญคือ การบริหารที่มีระบบเป็นมาตรฐานสากลที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน(รวมทั้งมหาวิทยาลัย)ต้องปฏิบัติตาม เพราะประเทศไทยเป็นสมาขิกขององค์กรดังกล่าวและรัฐบาลไทยเคยให้สัญญาว่าจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของมาตรฐานสากล
สาเหตุที่รัฐบาลไทยยังใช้การบริหารที่ไม่มีระบบไม่ใช่เพราะจงใจหลีกเลี่ยง
แต่เป็นเพราะนักบริหารชั้นสูงของราชการยังออกแบบระบบ(System Design)ไม่เป็นนั่นเอง