► สภาพความเป็นจริงในธรรมชาติ ในสังคม และในองค์กร คนเรา (และสรรพสิ่ง) มีความสัมพันธ์กันแบบคู่ตรงกันข้าม คือทั้งอิสระต่อกัน (independent, autonomy) และทั้งขึ้นต่อกันหรือพึ่งพิงซึ่งกันและกัน (interdependent)
► มนุษย์ปัจจุบันเดินตามวัฒนธรรม “ยิว-คริสต์” ที่มุ่งเอาชนะธรรมชาติ และประสบความสำเร็จสูงมาก วัฒนธรรมนี้มุ่งสร้างความเข้มแข็งของปัจเจก จนเลยเถิด ทำให้มนุษย์ลืมธรรมชาติที่แท้จริงว่าสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวข้องพึ่งพิงซึ่งกันและกัน
► เอาชนะธรรมชาติ จนลืมใช้จุดแข็งของธรรมชาติในการสร้างความสุขร่วมกันของมวลมนุษย์ ธรรมชาติ และสรรพสิ่ง
► ความเข้าใจ interdependence และรู้จักนำมาใช้เป็นพลังขับเคลื่อนตนเอง ทีมงาน และองค์กร ทำให้เกิดความราบรื่น ความเคารพซึ่งกันและกัน และความสามัคคีกลมกลียวกันภายในหน่วยงาน
► การปฏิบัติ KM จะทำให้สมาชิกเข้าใจธรรมชาติและพลังของ interdependence โดยไม่ต้องรู้จักคำนี้ ไม่ต้องเข้าใจทฤษฎี แต่ปฏิบัติและใช้พลังของมัน
► ทุกคนจะเข้าใจข้อจำกัดของตนเอง และเข้าใจว่าเมื่อมีจุดแข็งของเพื่อนเข้ามาเสริม ตนเองจะทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม หรือง่ายขึ้นกว่าเดิม เสริมกันไปเสริมกันมาในหมู่สมาชิก สามารถทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้
► ร่างกายของมนุษย์ หากขาดส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งไป ความมหัศจรรย์ของความเป็นมนุษย์จะลดลงอย่างมาก
► ร่างกายของมนุษย์มีทั้งอวัยวะที่มี autonomy สูงมาก และมีทั้งอวัยวะที่แทบไม่มี autonomy เลย แต่ทุกอวัยวะจะทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือความอยู่รอดของชีวิต หากอวัยวะใดแตกแถว ชีวิตก็ดำรงอยู่ไม่ได้ อวัยวะเหล่านี้มี interdependence เป็นธรรมชาติ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจทฤษฎีหรือหลักการของ interdependence
วิจารณ์ พานิช
๒๓ ก.ค. ๕๑
ไม่มีความเห็น