วันที่ ๒๙ ก.ค. ๕๑ มูลนิธิสยามกัมมาจล, สสส., และคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกันจัดการประชุมปฏิบัติการของ เครือข่ายภาคีพูนพลังเยาวชน เพื่อ ลปรร. ความสำเร็จของการดำเนินการพัฒนาเด็กและเยาวชนของภาคี และรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ว่าด้วยการพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำหรับใช้ในการเดินเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชนต่อไป นอกจากนั้น ยังหวังว่า การประชุมจะสร้างความคุ้นเคยในระหว่างองค์กรและบุคคลที่ทำงานด้านนี้ เป็นโอกาสที่จะแสวงหาความร่วมมือกันทำงานให้เกิด synergy กัน
คณะผู้จัดการประชุมขอให้ผมเป็นผู้กล่าวนำต่อที่ประชุมในหัวข้อ ถักทอ เสริมพลัง สู่การพัฒนาเด็กและเยาวชน ซึ่งผมได้เตรียมตัวไปกล่าวสั้นๆ ดังต่อไปนี้
วัยแห่งศักยภาพ
เด็กและเยาวชนเป็นผู้ที่อยู่ในวัยเจริญงอกงาม มีชีวิตในช่วงที่เปรียบประดุจนกแขกเต้า ที่อาจจำเริญวัยไปเป็นบัณฑิตก็ได้ เป็นพาลก็ได้ และที่ดำเนินชีวิตไปในทางดีงาม ก็ยังอาจแตกต่างกันได้อย่างมากมายในด้านความริเริ่มสร้างสรรค์ ตามรูปแบบของการเลี้ยงดูกล่อมเกลาในครอบครัว การจัดการศึกษาในโรงเรียน และตามแรงกระตุ้นของสื่อมวลชน
ทรัพย์ของแผ่นดิน
ทรัพย์สมบัติที่มีค่ายิ่งใหญ่ที่สุดของสังคมไม่ใช่ทรัพย์ในดินสินในน้ำ ไม่ใช่ ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ใช่โครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ แต่เป็นตัวคน คนที่มีคุณภาพสูงเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่าสูงสุดของสังคม ยิ่งในสังคมยุค Knowledge-Based หรือ Wisdom-Based คนที่มีคุณภาพสูงยิ่งมีความสำคัญ
เจียระไนเพชร
สังคมที่มีคนคุณภาพสูง เป็นสังคมที่มีวิธีพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างถูกวิธี ดำเนินการได้ผลดี และมีการรวมพลังกันดำเนินการในหลากหลายรูปแบบ หลากหลายมิติ เพื่อสร้างให้เด็กและเยาวชนพัฒนาศักยภาพของตนในด้านการเป็นคนดีและคนเก่ง ได้เต็มศักยภาพของตนเอง ในเด็กที่เกิดมาในสังคมไทยปีละ ๖ – ๗ แสนคนนั้น เรามีทั้งหน่ออ่อนของยอดศิลปิน ยอดนักกีฬา ยอดนักวิทยาศาสตร์ ยอดนักรบทางจิตวิญญาณ และอื่นๆ ทำอย่างไรหน่ออ่อนเหล่านั้นจะได้รับโอกาสที่จะเติบโต
เจียระไนตนเอง
มูลนิธิสยามกัมมาจลมีความเชื่อในการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยการส่งเสริมให้ตัวเด็กหรือเยาวชนเป็นผู้ลงมือทำ ทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ เกิดการเรียนรู้ของตนเอง เรียนรู้ร่วมกันกับเพื่อน และเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือต่อส่วนรวม แล้วเกิดการเรียนรู้ต่อเด็กหรือเยาวชนเอง
เราคิดว่า ในปัจจุบัน เด็กและเยาวชนมีชีวิตที่เฉื่อย (passive) มากเกินไป มีการเรียนรู้แบบรับรู้จากตัวอย่างภายนอกมากเกินไป เรียนรู้จากการลงมือทำด้วยตนเอง และเรียนรู้จากการสังเกตผลของการลงมือทำนั้น น้อยเกินไป กล่าวคือสังคมจัดให้เด็กและเยาวชนเรียนรู้แบบรับถ่ายทอดจากภายนอกมากเกินไป จัดให้เรียนรู้โดยการ “ระเบิดจากภายใน” หรือจากการงอกงามจากภายในตน น้อยเกินไป หรือในเด็กบางคน แทบไม่มีโอกาสได้เรียนรู้แบบหลังเลย ทำให้ธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ (ซึ่งตามปกติมีความสร้างสรรค์สูง) เสื่อมพลังหรือฝ่อไป จากการขาดการใช้งาน ที่เรียกว่า disuse atrophy
สังคมทำลายเด็ก
เราคิดว่า เวลานี้เด็กและเยาวชนเรียนรู้จากสื่อที่ไม่สร้างสรรค์มากเกินไป ที่ว่าไม่สร้างสรรค์คือสื่อมุ่งชักจูงให้เยาวชนเกิดกิเลส ตัณหา และราคะ เพื่อกระตุ้นการบริโภค เพื่อประโยชน์ต่อการขยายตลาด ขยายการผลิต ขยายเศรษฐกิจ เยาวชนกลายเป็นเครื่องมือหรือเหยื่อของเศรษฐกิจ เยาวชนกลับไม่ใช่เป้าหมายของการพัฒนา แต่กลับเป็นเหยื่อของการพัฒนาที่มุ่งการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นหลัก ผลคือเราจะได้เยาวชนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมองส่วนของความโลภ โกรธ หลง ได้รับการกระตุ้นให้งอกงาม และสมองส่วนของความเป็นมนุษย์ที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เคารพศักดิ์ศรีของผู้อื่นพอๆ กับหวงแหนความเป็นตัวของตัวเองและมีความมั่นคงในความซื่อสัตย์และความเห็นแก่ผู้อื่น กลับได้รับการกดทับหรือทำให้ไม่ได้รับการส่งเสริม
จะเห็นว่า เด็กและเยาวชนรุ่นปัจจุบัน (และอนาคต) ยิ่งนับวันจะอยู่ใต้อิทธิพลของสังคมสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนสับสน จนเยาวชนจำนวนไม่น้อยสับสนระหว่างความดีกับความชั่ว
เด็กมีบาดแผล
นอกจากนั้น สภาพสังคมปัจจุบัน ยังทำให้เด็กที่เกิดมาจำนวนหนึ่งเกิดมาโดยที่พ่อแม่ไม่พร้อมที่จะเลี้ยงดู หรือเกิดมาพร้อมกับบาดแผล หรือเติบโตขึ้นพร้อมกับบาดแผลทางใจ ที่ทำให้เขาเป็นคนเปราะบางต่อการชักจูงไปในทางเสื่อม
All for Youth
จึงเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่เครือข่ายภาคีพูนพลังเยาวชนมาร่วมประชุมกันในวันนี้ เพื่อหาลู่ทางความร่วมมือ เพื่อ check stock ว่าใครทำอะไรกันอยู่บ้างในเรื่องเด็ก และเยาวชน และรวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลจากประสบการณ์การทำงานขึ้นเป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนในสังคมไทย
Actionable Knowledge
ผมขออนุญาตให้ความเห็นเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลและสังเคราะห์องค์ความรู้เรื่องเด็กและเยาวชนสักเล็กน้อย ผมเข้าใจว่าการรวบรวมและสังเคราะห์องค์ความรู้แบบนี้ เราไม่ได้ต้องการองค์ความรู้ที่เน้นความชัดเจนแน่นอนตายตัว เพื่อจารึกไว้ชั่วกาลนาน ตรงกันข้าม เราต้องการความรู้เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ ใช้ดำเนินการพัฒนาเยาวชนในท่ามกลางกระแสสังคมปัจจุบัน ที่ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อเด็กและเยาวชนไทย เราต้องการความรู้สำหรับเอาไปใช้งาน ไม่ใช่ความรู้สำหรับเอาไปจารึก จึงเป็นความท้าทายต่อคณะทำงานของคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ที่จะสังเคราะห์ความรู้จากการประชุมออกมาให้เหมาะต่อการนำไปใช้งานต่อ ผมเข้าใจว่า เราไม่ได้ต้องการความรู้ที่เป็นความรู้ลอยๆ ความรู้กลางๆ แต่เราต้องการความรู้ที่ใช้การได้จริงในบริบทต่างๆ กัน
ความรู้ในการกระตุ้นสมองคน ไม่ใช่กระตุ้นสมองสัตว์
เราต้องการความรู้สำหรับใช้พัฒนาเด็กและเยาวชนทั้งหมดให้เขาส่งประกายอัจฉริยภาพเฉพาะตัวออกมา ใช้พัฒนาเด็กและเยาวชนเฉพาะกลุ่มที่มีอัจฉริยภาพพิเศษ หรือมีบาดแผล หรือมีความต้องการพิเศษ ใช้พัฒนาเด็กและเยาวชนทั้งหมดให้เขาได้กระตุ้นสมองมนุษย์ มากกว่ากระตุ้นสมองสัตว์
เพิ่มภาคี
นอกจากความเห็นแล้ว ผมขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ที่ยังไม่ปรากฎชื่อในเว็บไซต์ www.scbfoundation.com ได้แก่
๑. ศูนย์พัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม www.moralcenter.or.th
๒. สถาบันส่งเสริมศักยภาพและนวัตกรรมการเรียนรู้ (สสอน.) www.igil.or.th
๓. อุทยานการเรียนรู้ www.tkpark.or.th
๔. มูลนิธิพูนพลัง www.geocities.com/poonpalang
๕. โครงการเยาวชน มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา คาดว่าจะดำเนินการในปี ๒๕๕๒
วิจารณ์ พานิช
๒๙ ก.ค. ๕๑
บรรยากาศของการประชุม
ขออนุญาติเพิ่มชื่อของ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยนะคะ เพราะไม่มีปรากฎใน http://www.scbfoundation.com เช่นกันค่ะ สถาบันฯ ทำงานทั้งด้านการศึกษา มีหลักสูตรปริญญาโทด้านการพัฒนามนุษย์ งานวิจัย และบริการวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว ภายใต้การนำของหัวเรือใหญ่ รศ.ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทรค่ะ ผู้สนใจสามารถเข้าดูได้ที่ http://www.cf.mahidol.ac.th/ ค่ะ
ได้คุยกับคุณเปาแล้วค่ะ คงได้ช่วยกันพรวนดินต่อค่ะ นินทา (ว่าดี) ถึงอาจารย์วิจารณ์ กันด้วยค่ะ ฮิฮิ
ได้คุยกับคุณเปาแล้วค่ะ คงได้ช่วยกันพรวนดินต่อค่ะ นินทา (ว่าดี) ถึงอาจารย์วิจารณ์ กันด้วยค่ะ ฮิฮิ