คาถาที่ต้องท่องให้ขึ้นใจ และถือปฏิบัติทุกลมหายใจ คือ “เราเป็นคุณอำนวย ไม่ใช่คุณอำนาจ” คือต้องระมัดระวังท่าที และวิถีปฏิบัติ อย่าให้ “คุณกิจ” ทั้งหลายรู้สึกว่าที่เขา “ทำ” KM นั้น ก็เพื่อผลงานของหน่วยสนับสนุน KM
แค่ท่าที facilitate ยังไม่เพียงพอนะครับ ต้องมีวิธีทำให้ “คุณกิจ” ทั้งหลายเห็นว่า “KM ช่วยงาน” ไม่ใช่ “KM เพิ่มงาน” และไม่ใช่ “ทำ KM” แต่ “เอา KM มาช่วยงาน” ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น สนุกขึ้น และงานกลายเป็นสิ่งที่ “คุณกิจ” สนุกกับมัน เห็นคุณค่าของมัน ในการทำให้ชีวิตมีความหมาย
KM ช่วยให้ชีวิตของ “คุณกิจ” หรือคนหน้างาน มีความหมาย มีคุณค่า มีความสนุก ทั้งต่องานประจำและต่อความมั่นคงของงาน และความมั่นคงของชีวิต
ชีวิตของคนที่มีทักษะในการเรียนรู้จากงาน ทักษะในการเรียนรู้เป็นทีม ทักษะในการเรียนรู้ระบบ เป็นชีวิตที่มั่นคง ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
ถ้าหน่วยสนับสนุน KM ในองค์กรขนาดใหญ่ สามารถส่งเสริมกระบวนการ จนพนักงานทุกระดับเกิดทัศนคติข้างบน แสดงว่า หน่วยสนับสนุน KM (ในองค์กรขนาดใหญ่) มีความสำเร็จยิ่งใหญ่
ทัศนคติข้างบน เกิดจากการเรียนรู้ด้วยตนเองของเหล่า “คุณกิจ” เรียนรู้จากประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรม KM ในหลากหลายบริบท ไม่สามารถเกิดได้โดยคำ บอกเล่าของผู้อื่น
หน่วยสนับสนุน KM ในองค์กรขนาดใหญ่ ที่ทำงานแบบลุกลี้ลุกลน ต้องการผลงานระยะสั้นของตนเป็นหลัก ว่าได้ทำงานจัดอบรมแล้ว กี่ครั้ง ได้จัดเวที ลปรร. แล้ว กี่ครั้ง จะชักนำให้เหล่า “คุณกิจ” เข้าใจว่า เขากำลังเป็น “เหยื่อการสร้างผลงาน” ของ หน่วยสนับสนุน KM ซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวของขบวนการ KM / LO
วิจารณ์ พานิช
๘ ก.ย. ๕๑
ขอบคุณคาถา เราเป็นคุณอำนวย ไม่ใช่คุณอำนาจ ครับจำนำไปใช้ครับ