วันที่ ๒๔ ก.ย. ๕๑ ผมจะไปพูดเรื่อง “การจัดการความรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย” ในการประชุม “สร้างความรู้ สานความร่วมมือ...สู่ดุลยภาพการพัฒนาเมืองนคร” ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช งานนี้ผมขาดไม่ได้ เพราะเป็นงานแซยิดท่าน “ผู้ว่าฯ นักจัดการความรู้” วิชม ทองสงค์ ไปในตัว และเป็นการไปช่วยกันตอกย้ำแนวทาง “ชุมชนอินทรีย์ ชุมชนแห่งการเรียนรู้” ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วย
ที่จริงผมทำงานเป็น ผอ. สคส. มา ๕ ปี (๒๕๔๖ – ๒๕๕๑) ก็ด้วยวัตถุประสงค์ตามหัวข้อที่จะพูดนี่แหละ -- ส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทย เปลี่ยนไปสู่สังคมอุดมปัญญา ที่มีการสร้างและใช้ปัญญาในทุกหย่อมหญ้า ทุกซอกทุกมุม ทุกอณู ของสังคมไทย หรืออาจเรียกว่าสังคมอินทรีย์ ก็ได้
ในเวลา ๓๐ นาที ผมเตรียมไปเสนอว่า การจัดการความรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ใช้หลักสิบประการ (บัญญัติ ๑๐ ประการ) ได้แก่
๑. เปลี่ยนแปลงบทบาทราชการ/ข้าราชการ เป็น “คุณอำนวย” เปลี่ยนแปลงชาวบ้านเป็นนักวิจัย หรือเป็นนักจัดการความรู้ ชาวบ้านเปลี่ยนจากคนโง่เป็นผู้รู้
๒. เปลี่ยนแปลงชีวิตจากยึดถือหรือยึดมั่นความรู้ทฤษฎี เป็นยึดมั่นความรู้ปฏิบัติ ใช้ความรู้ทฤษฎีเป็นตัวเสริม หรือใช้อธิบายผลจากการลงมือปฏิบัติ จึงเป็นการเปลี่ยนจากเน้นเรียนจากตำรา สู่เน้นเรียนจากการลงมือทำ โดยไม่ปฏิเสธความรู้จากตำราหรือนักวิชาการ แต่ไม่ยอมให้ความรู้จากตำราหรือนักวิชาการเป็นตัวครอบงำ หรืออาจกล่าวว่า เปลี่ยนจากเล่น (ใช้) ความรู้มือสอง เป็นเล่นความรู้มือหนึ่ง
๓. เปลี่ยนแปลงจากรู้แล้วเก็บไว้ เป็นรู้แล้วแลกเปลี่ยน (Knowledge Sharing) เน้นการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลปรร.) ความรู้ปฏิบัติ เสริมด้วยการ ลปรร. การตีความด้วยความรู้ทฤษฎี เปลี่ยนจากอมภูมิเป็นแสดงภูมิด้วยความถ่อมตน ด้วยความอยากเรียนรู้จากเพื่อน และเคารพเห็นคุณค่าของความรู้ในตัวเพื่อนร่วมงาน หรือร่วมชุมชน รวมทั้งมีความมั่นใจที่จะแลกเปลี่ยนความรู้จากประสบการณ์ของตน
๔. เปลี่ยนแปลงจากเรียนรู้อยู่กับตน หรือเรียนคนเดียว เป็นเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning) หรือเป็นกลุ่ม เน้นการตั้งกลุ่มเรียนรู้ เน้น ลปรร. ความรู้จากประสบการณ์ หรือจากการลงมือปฏิบัติ เปลี่ยนจากการเรียนรู้ที่น่าเบื่อ เป็นการเรียนรู้ที่สนุกสนาน
๕. เปลี่ยนจากเน้นสร้างความรู้จากยอด (หัวหน้า) เป็นเน้นสร้างความรู้จากฐาน (ผู้ปฏิบัติงาน) เนื่องจากฐานมีขนาดใหญ่กว่า ความรู้ที่สร้างที่ฐานแม้จะเป็นความรู้สะเก็ดเล็กๆ แต่เมื่อรวมกันและต่อยอดกันก็จะกลายเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ หัวหน้าทำหน้าที่ “นำจากข้างหลัง” เพื่อสนับสนุนการสร้างความรู้จากฐาน
๖. เปลี่ยนจากการสร้าง/ผู้สร้าง กับการใช้/ผู้ใช้ ความรู้อยู่แยกกัน เป็นกระบวนการสร้างและใช้ความรู้เป็นกระบวนการเดียวกัน สร้างและใช้โดยคนคน/กลุ่ม เดียวกัน ความถูก-ผิด ของความรู้พิสูจน์ ณ จุดใช้งาน พิสูจน์จากการใช้งานแล้วเกิดผลดี
๗. เปลี่ยนจากสร้างใหม่อยู่เรื่อยไป เป็นสร้างต่อยอดความรู้เดิม ที่อยู่ในความสำเร็จเล็กๆ ที่มีอยู่ดาดดื่น ดำเนินการเสาะหา Best Practice เหล่านั้นมาปรับใช้ และสร้าง Best Practice ใหม่ขึ้นมาต่อยอดเป็นวงจรไม่รู้จบ
๘. เปลี่ยนความคิด/ความเชื่อเกี่ยวกับ “โครงสร้างพื้นฐาน” (Infrastructure) ของการพัฒนาที่ยั่งยืน จากเน้นวัตถุ หรือโครงสร้างทางกายภาพ ไปสู่โครงสร้างทางปัญญา คือการเรียนรู้ของคนในสังคม/ชุมชน อปท. เปลี่ยนจุดเน้นการทำงานสู่การสนับสนุน (facilitate) การเรียนรู้ของคนในพื้นที่ โดยเน้นการรวมกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ อปท. ลงทุนจ้าง “คุณอำนวย” ท้องถิ่น หรือพี่เลี้ยงนักวิจัยท้องถิ่น
๙. เปลี่ยนแนวทางพัฒนาชุมชน จาก Training หรือถ่ายทอดความรู้ เป็น Learning หรือเรียนรู้จากการทำงาน เรียนรู้โดยการสร้างหรือต่อยอดความรู้ขึ้นใช้งาน
๑๐. เปลี่ยนจากมองชุมชนเป็นอนินทรีย์ หรือไม่มีชีวิต เป็นคล้ายชุมชนมีชีวิต (อินทรีย์) เป็นชุมชนเรียนรู้ (Learning Community) เป็นชุมชนที่ซับซ้อนและปรับตัว (Complex – Adaptive Community) มีการเปลี่ยน แปลงและปรับตัวร่วมไปกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่น เดียวกัน
ที่จริงที่ผมนำเสนอนั้น ไม่มีอะไรใหม่ หลักการเหล่านี้มีอยู่ในเอกสาร “ชุมชนอินทรีย์ ชุมชนแห่งการเรียนรู้” ของจังหวัดนครศรีธรรมราชนั่นเอง ผมได้เอาหน้าปกมาลงไว้ให้ดู ถ้าทางจังหวัดเอาข้อความทั้งหมดในเอกสารขึ้นเว็บไซต์ ก็จะยอดเยี่ยมมาก
วิจารณ์ พานิช
๘ ก.ย. ๕๑
เรียน พระอาจารย์
คมคิดคมเขียน เข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง แลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นคำง่ายๆแต่มีความหมายลึกซึ่ง อ่านบทความของท่านเขียนแล้ว น่าจะทำให้สังคมไทยดีขึ้นแต่ก็ยังสงสัยทำไมประเทศไทยถึงยังวุ่นวายเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวประโยชน์ส่วนรวมหายไปใหน วัฒนธรรมดีๆเมื่อก่อน มีการแลกเปลี่ยนแบ่งปันตั้งแต่การใช้แรงงานที่เรียกว่าลงแขก ปัจจุบันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องซื้อหามาด้วยเงิน แก่งแย่งแข่งขันจึงยากที่จะให้ทำให้สังคมกลับมาเหมือนเดิมได้ เพราะทุกอย่างมีต้นทุน คนจึงไม่ค่อยจะยอมแบ่งปัน แม้แต่ความรู้ก็ต้องลงทุนซื้อหามา พอได้ก็เลยยากที่จะแบ่งปันให้กันฟรีๆ สิ่งเหล่านี้จะต้องรื้อฟื้นประเพณีวัฒนธรรมเก่า เมื่อก่อนขึ้นรถเมล์ก็จะมีคนเอื้อเฟื้อแก่เด็ก สตรี และคนชรา ทุกวันนี้หาดูได้ยากยิ่ง แม้แต่การโฆษณาบางอย่าง ก็ทำให้คนเข้าใจผิดเห็นผิดเป็นถูกเห็นถูกเป็นผิด เพลงก็เช่นกันมองไปที่ใหนก็มีแต่จะทำให้ความดีงามในสังคมมันลดลง ได้อ่านบทความดีๆอย่างนี้แล้วค่อยชื่นใจหน่อยครับ