เมื่อวันที่ ๑๗ มค. ๔๙
ในการประชุมภาคีจัดการความรู้ในชุมชน คุณทรงพล เจตนาวณิชย์ ได้เสนอ
“ความรู้จากประสบการณ์” เกี่ยวกับการทำหน้าที่ “คุณอำนวย” ในชุมชน
ไว้อย่างน่าสนใจมาก
จึงขอนำมาเผยแพร่บทบาทของคุณอำนวยในชุมชนซึ่งบางครั้งเป็นทั้งคุณกิจและคุณอำนวย
สามารถแยกได้เป็น 3 ระยะคือ
จัดการความรู้ก่อนทำ
คุณอำนวยในชุมชน ต้องทราบข้อมูล ทบทวน
หาความรู้ในเรื่องราวที่ตนเอง จะทำการจัดการความรู้
รื้อฟื้นทุนเดิมของตนเองที่ผ่านการศึกษาอบรมพัฒนาศักยภาพมา
วิเคราะห์ค้นหากลุ่มคนที่เป็นปัจจัยหลัก (แกนนำ) สร้างความสัมพันธ์
ชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายแห่งการเรียนรู้ และกลุ่ม
เป้าหมายที่จะเป็นคุณเอื้อ
ตัวอย่างรูปธรรมกรณีนักจัดการความรู้ท้องถิ่น
วลีรัตน์ จำนงค์เวช
ซึ่งทำโครงการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาครูศูนย์เด็กเล็กซึ่งในพื้นที่ตำบลจระเข้ร้องที่มีมากถึง
10 ศูนย์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่รับผิดชอบยังทำได้ไม่ดี
เป้าหมายที่สำคัญคือการพัฒนาครูศูนย์เด็กเล็ก
พัฒนาการเรียนรู้ของพ่อแม่
พัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดการความรู้เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านการศึกษาได้
ก่อนจะทำอะไรต้องรู้เขารู้เราก่อน
คุณอำนวยจึงจำเป็นต้องเข้าไปศึกษาทำความรู้จัก
ทำความเข้าใจ ชี้แจงกับเทศบาลตำบล
จากนั้นเข้าไปพูดคุยสร้างความสัมพันธ์กับครูศูนย์เด็กเล็กแต่ละศูนย์
เป็นการค้นหาครู ที่จะเป็นแกนนำร่วมทำงานได้
ทำให้ครูเห็นความสำคัญว่าเป็นการมาช่วยเสริมศักยภาพมิใช่การประเมิน
นอกจากเรื่องคนแล้ว
ความรู้ความเข้าใจในงานก็มีความจำเป็น เช่น ความรู้เรื่องพัฒนาการเด็ก
ความรู้เรื่องการเรียนการสอนศูนย์เด็กเล็กที่ดีควรเป็นอย่างไร
ความรู้ก่อนทำเหล่านี้นอกจากได้จากศูนย์เด็กเล็กในพื้นที่แล้ว
สามารถหาได้จากหนังสือ สื่อ
และการไปดูโรงเรียนที่จัดการศึกษาแก่เด็กเล็กได้ดี
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ให้แก่ตัวคุณอำนวยเอง
ทำให้สามารถออกแบบการเรียนรู้แก่ครูศูนย์เด็กเล็กได้ดียิ่งขึ้น
จัดการความรู้ระหว่างทำ คุณอำนวยในชุมชนต้องสร้างบรรยากาศให้ทุกคนที่ร่วมเส้นทางเดินมีความสุข มีความพอใจ รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถมากขึ้น มีความเชื่อมั่นภูมิใจในตัวเอง คุณอำนวยในชุมชนต้องมีทักษะการจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น พริ้วไหวไปกับสถานการณ์ ใช้วิธีการ เครื่องมือ และสื่อที่กระแทกใจ ใช้ง่าย และเหมาะกับวัฒนธรรมการเรียนรู้ของชาวบ้าน เช่น ใช้ความสามารถที่ครูแต่ละคนมีให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่น (เพื่อนช่วยเพื่อน) การมีเทคนิควิธีการใหม่ๆ ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูทุกครั้ง ที่สำคัญต้องสามารถจัดการความต่อเนื่องได้ (พาเรียนรู้ครั้งนี้แล้ว ครั้งต่อไปควรทำอะไร) การกำหนดบทบาทหน้าที่และประเด็นการเรียนรู้ในแต่ละครั้งให้ชัดเจน เช่น ทำอย่างไรให้การศึกษาดูงานแต่ละครั้งแตกต่างกัน ครูคนไหนขาดเรื่องไหนและจะได้สิ่งที่ต้องการจากส่วนไหนจากใครในการไปดูงาน นอกจากเรื่องเนื้อหาการเรียนรู้เหล่านี้แล้วยังมีเรื่องการจัดการอยู่ (ที่พัก) การกิน (อาหาร) จัดการความสัมพันธ์ของคณะขณะเรียนรู้ร่วมกัน จัดการเงื่อนไขปัจจัยของแต่ละคนซึ่งแตกต่างกัน (เช่น ว่างไม่ตรงกัน) และสุดท้ายการสังเกตประเมินการเรียนรู้ของแต่ละคน
จัดการความรู้หลังทำ มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะความรู้ ความประทับใจที่ได้จะหายไปหากไม่มีการจัดการต่อ ตัวอย่างนักจัดการความรู้ ปราณีต นาคะเสโน หลังจากพาชาวบ้านไปดูงานพิพิธภัณฑ์ชุมชนที่จังหวัดน่านแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะถอดความรู้ (After Action Review) หลังจากกลับมาถึงกรุงเทพฯ แต่พอพิจารณาแล้วคงเป็นไปได้ยาก จึงชวนคุยถอดความรู้ในรถระหว่างเดินทางเสียเลย เนื่องจากไฟฉันทะและแรงบันดาลใจที่ถูกจุดขึ้นระหว่างดูงานยังคงอยู่ นักจัดการความรู้จึงรีบปิดการขายทันทีว่าหลังจากได้อะไรไปแล้วนี้ แต่ละคนอยากจะไปทำอะไรต่อ เมื่อกลับถึงบ้านมีกลุ่มหนึ่งรีบดำเนินการเก็บข้อมูลทันที คนอื่นๆ ก็จะรีบลงมือในส่วนที่ตนทำได้ เช่น ปรับปรุงอาคารเพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ ทำข้อมูลโบราณวัตถุที่มีอยู่ เป็นต้น เป็นการเช็คบิลหน้างานที่ได้ผล
หลังจากจัดการหลังดูงานได้แล้ว ก็วางแผนงานและเสริมการเรียนรู้ของแต่ละคนแต่ละกลุ่มที่มีงานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบต่ออีก เช่น ประสานเชื่อมโยงวิทยากรจากสถาบันการศึกษามาพัฒนาต่อยอด
นอกจากนี้คุณอำนวยยังต้องทำหน้าเป็นคุณสังเกตและคุณบันทึก คอยเก็บร้อยเรียงเรื่องราวการเรียนรู้เป็นคลังความรู้ เป็นข้อมูลเพื่อจัดการต่อ เรียกได้ว่าคุณอำนวยในชุมชนแท้จริงแล้วต้องทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ประสานงาน สันทนาการ วิชาการ เลขานุการ เหรัญญิก
วิจารณ์ พานิช
๓ เมย. ๔๙
ไม่มีความเห็น