บุญทำกรรมส่งให้ผมเข้าไปทำหน้าที่ regulatory อย่างไม่รู้ตัว คือทำหน้าที่ประธาน กกอ. ทำหน้าที่ regulatory ต่อระบบอุดมศึกษาของประเทศ ตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค. ๕๒ เป็นต้นมา
วันที่ ๓๐ ม.ค. ๕๒ เทวดาดลใจให้ผมไปนั่งฟังห้อง Private Health Sector ของ PMA Conference 2009 เพื่อเรียนรู้เรื่องนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับภาคเอกชนด้านสุขภาพ ได้เรียนรู้เข้าใจกระบวนทัศน์ใหม่เกี่ยวกับภาคเอกชนด้านสุขภาพมากมาย
แต่ที่ได้มากกว่านั้น คือได้เรียนรู้วิธีทำงานในหน้าที่ regulatory ซึ่งมีวิธีมอง/ทำ ได้ ๒ แบบ คือแบบควบคุมกำกับ (control) กับแบบกำกับดูแล (governance)
แบบแรก เน้นใช้อำนาจควบคุมสั่งการ (command & control) แบบหลัง เน้นส่งเสริมสนับสนุนช่วยเหลือ (stewardship)
การใช้อำนาจควบคุมสั่งการทำโดยการออกข้อบังคับ กฎระเบียบ ใครไม่ทำตามก็จะต้องถูกลงโทษ ซึ่งเราก็จะเห็นการหลีกเลี่ยงหรือทำผิดมากมาย ทั้งทางตรงและทางอ้อม และไม่ถูกลงโทษ เพราะจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หรือเพราะผู้ควบคุมไม่มีปัญญาไปติดตาม
การทำหน้าที่กำกับดูแล เน้นการส่งเสริมช่วยเหลือ (stewardship) ช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากความสำเร็จที่ก่อประโยชน์ตามที่ต้องการ ส่งเสริมให้ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น เกิดความสำเร็จที่กว้างขวางหรือลึกซึ้งยิ่งขึ้น เกิดการยอมรับ ชื่นชม ยกย่อง อย่างกว้างขวาง ได้รับทรัพยากรเพิ่มขึ้น ผมกลับมา AAR ที่บ้าน ว่า หลักการสำคัญในการให้ stewardship คือการใช้ SSS – Success Story Sharing และหยิบวิธีการดีๆ จาก SS เหล่านั้น เอามาใช้เป็นหลักการในการกำหนดข้อบังคับหรือกติกาในการให้ความสะดวกในการทำงาน หรือในการเอื้อทรัพยากรสนับสนุน
หัวใจของการทำหน้าที่กำกับดูแลโดยเน้นส่งเสริมช่วยเหลือคือต้องสร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจระหว่างกัน ระหว่างฝ่ายผู้ปฏิบัติ กับฝ่ายกำกับดูแล ในเรื่องภาคเอกชนด้านสุขภาพ ฝ่ายกำกับคือฝ่ายภาครัฐ ที่ประชุมบอกว่าปัญหาหลักคือไม่ไว้วางใจระหว่างกัน และผลของการวิจัย (ในหลายประเทศทั่วโลก) ให้ผลแปลกมาก คือความไม่ไว้วางใจของฝ่ายภาคเอกชนต่อฝ่ายภาครัฐรุนแรงกว่าความไม่ไว้วางใจของภาครัฐต่อฝ่ายภาคเอกชน
ผมได้เรียนรู้ว่า การทำหน้าที่กำกับดูแลต้องเน้นสร้างความไว้วางใจระหว่างกันให้ได้ ผมเกิดความทะเยอทะยานยามแก่ ที่จะเป็นนักสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน (mutual trust) ในระบบอุดมศึกษา โดยใช้หลักการ (ที่ผมคิดขึ้นเอง) คือ
• ความเสมอกัน หรือร่วมกัน ในอุดมการณ์เป้าหมายเพื่อสังคม คือทุกฝ่ายในระบบอุดมศึกษามีเป้าหมายสูงสุดอันเดียวกัน คือทำให้ระบบอุดมศึกษาเป็นประโยชน์ต่อสังคมสูงสุด ก่ออันตรายต่อสังคมน้อยที่สุด
• ความเสมอกัน หรือร่วมกัน ในข้อมูล/สารสนเทศ/ความรู้ เกี่ยวกับระบบอุดมศึกษา คือได้มาจากการวิจัยระบบ ที่มีความแม่นยำน่าเชื่อถือ และมีการเผยแพร่แก่สาธารณชน
• ความเสมอกัน หรือร่วมกัน ในข้อมูล/สารสนเทศ/ความรู้ เกี่ยวกับความสำเร็จและไม่สำเร็จ ของระบบอุดมศึกษา เน้นการเอาความสำเร็จมาทำความเข้าใจ หาเหตุผลหรือปัจจัยส่งเสริม แล้วร่วมกันกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อเอื้อให้เกิดความสำเร็จที่กว้างขวางขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น
ทั้งหมดนั้น ผมตีความว่า เป็นการจัดการคุณค่า (Value Management) ของสังคม ผมมีความเชื่อว่าในทุกสังคมมีคุณค่าสูงส่งอยู่แล้ว มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แต่ยังไม่มีวิธีจัดการให้เข้ามารวมตัวกัน ผมกำลังสนุกกับการเรียนรู้วิธีควบแน่นไอความดี ให้เป็นหยดความดี เป็นสายธารความดี เป็นทะเลความดี ในเรื่องอุดมศึกษา
เป็นความสนุกและท้าทายอย่างยิ่ง ต่อชีวิตยามแก่
วิจารณ์ พานิช
๓๑ ม.ค. ๕๒
ไม่มีความเห็น