• เมื่อจะทำ KM เพื่อบรรลุเป้าหมายใดก็ตาม
ให้ตั้งสมมติฐานว่า
ความรู้เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นมีอยู่แล้วในองค์กรของเรา
ไปหาความรู้เหล่านั้นให้พบ และเอามาต่อยอด
• ความรู้ดังกล่าวอาจจะยังไม่เป็นความรู้ระดับสุดยอด
แต่ก็มีอยู่ในองค์กรของเรา
โดยแฝงอยู่ในวิธีทำงานที่ให้ผลงานในระดับดีหรือดีเยี่ยม
ดังนั้นการเสาะหาความรู้ทำได้โดยเสาะหาผลงานที่ดีหรือดีเยี่ยมตามเป้าหมายนั้น
• เคล็ดลับคืออย่าหาเฉพาะผลงานเยี่ยมตามเป้าหมายปลายทาง
ให้หาผลงานเยี่ยมตามเป้าหมายรายทางด้วย
• ผลงานเยี่ยมตามเป้าหมายรายทาง เป็นความสำเร็จชิ้นเล็กๆ
ที่เมื่อมาประกอบกัน ก็จะได้ความสำเร็จชิ้นใหญ่
หรือเป้าหมายปลายทาง
• เอาความสำเร็จชิ้นเล็กๆ เหล่านั้นมา ลปรร.
ด้วยความชื่นชมยินดี
ให้เกิดการระบาดของความรู้หรือวิธีการเยี่ยมเหล่านั้น
ให้มีการนำไปทดลองปรับใช้ในบริบทอื่นหรือขั้นตอนอื่นของงาน
แล้วนำผลมา ลปรร. กันอีก เป็นวงจรไม่รู้จบ
• แต่อย่าหยุดอยู่ที่ความเชื่อว่า “มีอยู่แล้ว”
ให้ถือสมมติฐานตรงกันข้ามด้วย ว่า “ยังไม่มี” หรือ
“มีไม่พอ” ด้วย
ตั้งสมมติฐานว่าน่าจะมีคนอื่นหรือหน่วยงาน/องค์กรอื่น
ที่ทำงานนั้นได้ผลดีเลิศ
ไปเสาะหาให้พบ และไปขอเรียนรู้จากเขา โดยวิธีการ
“เพื่อนช่วยเพื่อน” (Peer Assist)
เพื่อการเรียนรู้แบบก้าวกระโดด หรือเรียนลัด
• สรุปว่าต้องถือคติ ทั้งมีอยู่แล้ว
และยังไม่มี
• ทั้งใช่และไม่ใช่ คือคำตอบแบบ KM
วิจารณ์ พานิช
๓ พค. ๔๙
ไม่มีความเห็น