• ตามพจนานุกรม บารมีแปลว่า คุณความดีที่ได้บำเพ็ญมา แต่ในชีวิตจริงมีคนใช้ในความหมายว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีความสามารถสูง เก่ง ดี และตีความว่าต้องดี-เก่งทุกเรื่อง
• ในการทำ KM ต้องตีความคำว่าบารมีเสียใหม่ ให้มีความหมายเชิงพลวัต ให้เห็นว่าบารมีเป็นสิ่งที่ต้องสร้างและสั่งสมอยู่เรื่อยไป ไม่รู้จบ
• มองในมุมหนึ่ง บารมีผูกพันอยู่กับการเรียนรู้ คนที่เคยมีบารมี แต่ต่อมาไม่เรียนรู้ ไม่บำเพ็ญคุณความดี และปัญญาต่อเนื่อง บารมีก็เสื่อมได้
• คน/หน่วยงาน ที่บารมีสูง มีความเสี่ยงต่อความประมาท ที่ฝรั่งเรียกว่า complacency คือคิดว่าตนดี/เก่ง อยู่แล้ว จึงไม่ขวนขวายมานะบากบั่นเรียนรู้และทำความดีต่อเนื่อง ในที่สุดก็จะตกต่ำ บารมีเสื่อม
• คน/หน่วยงานที่มีอำนาจ เช่นทำหน้าที่ตัดสินความ ตรวจสอบ/ประเมิน หน่วยงานอื่น หรือทำหน้าที่สอน/ฝึกอบรม มีความเสี่ยงต่อความประมาทดังกล่าว ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “ความประมาทเชิงระบบ”
• จะเห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า “บารมี” ก็มีทั้งที่เป็นของจริง บารมีจริง กับของปลอม บารมีปลอม
• ของปลอมไม่ทนทานต่อการพิสูจน์ตรวจสอบ ในไม่ช้า “ทองชุบ” ก็ลอก เผยความปลอมออกมา
• บารมีที่แท้ ต้องตั้งอยู่บนสภาพความเป็นจริง และเป็นธรรมชาติ
• KM เป็นการสร้างบารมีผ่านธรรมชาติของความป็นมนุษย์ เน้นการใช้ธรรมชาติด้านดี เน้นพลังปัญญารวมหมู่ สร้างบารมีรวมหมู่
• ปัญญาบารมี หรือบารมีด้านความรู้ ต้องมองอย่างแยกแยะ องค์กร / บุคคล อาจมีชื่อเสียงด้านใดด้านหนึ่ง แต่อาจอ่อนด้อยในบางด้านก็ได้ การทำ KM มีแนวความคิดเชิงแยกแยะเช่นนี้
วิจารณ์ พานิช
๒ เมย. ๔๙
วันเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่ในที่สุดถูกยกเลิก
ไม่มีความเห็น