• ผมได้แนวคิดนี้จากการได้สัมผัสสมาชิกของมูลนิธิพุทธฉือจี้ ในการเดินทางไปดูงานที่ไต้หวันระหว่างวันที่ ๒๖ – ๓๐ เมษายน ๒๕๔๙
• ผมสังเกตว่าสมาชิกของมูลนิธิ ทั้งที่ร่วมเดินทางไปจากเมืองไทย และที่เป็นผู้นำเสนอเรื่องเล่าของกิจกรรมของมูลนิธิฯ ณ จุดต่างๆ ที่ไต้หวัน มีใบหน้าที่แสดงความสุข มี “เรื่องเล่า” ที่แสดงความเป็นคนจิตใจดี มีความสุข
• ผมเดาว่าท่านเหล่านี้มีความสุขจากการแบ่งปันความสุขให้แก่ผู้อื่นที่เป็นคนแปลกหน้า ไม่รู้จักกันมาก่อน เป็นความสุขที่เกิดจากการให้
• “ให้ความสุข ได้ความสุข” คือหลักการหรือความเป็นจริงสากล โดยที่การให้นั้นต้องเป็นการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน เน้นการให้เพื่อพัฒนาตนเอง
• “ให้ – แบ่งปัน ความรู้ ได้ความรู้” คือหลักการ หรือความเป็นจริงด้านการจัดการความรู้
• มองจากมุมหนึ่ง การให้ – แบ่งปันความรู้ เป็นการฝึกให้มี “จิตใจของผู้ให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน” ซึ่งเป็นจิตใจที่บริสุทธิ์
• จิตใจยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นเพียงใด เราก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
• การทำงาน การจัดการความรู้ ไม่ใช่เพียงแค่หวังผลของงาน และผลการยกระดับความรู้เชิงเทคนิคเท่านั้น แต่หวังผลการพัฒนาจิตใจ/จิตวิญญาณ ของแต่ละคน พัฒนาความสัมพันธ์ทางใจของผู้คนในหน่วยงานด้วย
• คุณค่าสูงสุดของ KM อยู่ในระดับจิตใจ จิตวิญญาณ
วิจารณ์ พานิช
๒ พค. ๔๙
ช่วยตอกย้ำเรื่อง ทาน คือการให้ที่หลากหลายตามแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน นำมาซึ่งความสุข
แบ่งปัน ความรู้ ได้ความรู้
แบ่งปันความสุข ได้ความสุข
เคยถูกคนถามอยู่เสมอว่าทำ KM ไปเพื่ออะไร เมื่อตอบไปง่ายว่า ทำเพื่อความสำเร็จ เพื่อความหมาย บางคนไม่เข้าใจและไม่เชื่อว่าจะทุ่มเทไปโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงิน หรือรางวัลเพื่ออะไร