ความคิดเชิงวิทยาศาสตร์เป็นตัวเพิ่มคุณค่าหรือเพิ่มพลังของ KM KM ที่ ลปรร. กันอยู่บนฐานความรู้ที่ตื้น จะมีพลังน้อย หรืออาจไปผิดทาง ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ หรือเชิงวิชาการจะช่วยให้ทีม KM หมุนเกลียวความรู้ในมิติที่ลึก
ดังนั้น ทีม KM ต้องไม่คิด ทดลอง และ ลปรร. กันอยู่บนฐานของความรู้พื้นๆ เท่านั้น แต่ต้องเรียนรู้จากผู้มีความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ หรือเชิงวิชาการด้วย แต่ที่สำคัญคือ เมื่อเรียนรู้แล้ว ต้องเอามาตีความและทดลองใช้ในบริบทของตนเอง อย่าเรียนรู้ความรู้สำเร็จรูปเอามาใช้เลย แต่ให้เรียนรู้โดยจับหลักการ แล้วตีความตามบริบทของตนเอง แล้วจึงทดลองใช้ความรู้ที่ตีความแล้วนั้น
ที่จริง ยังไม่ต้องใช้ความรู้ ก็ ลปรร. กันได้ คือ ลปรร. การตีความความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ที่ร่วมกันเรียนรู้ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจระหว่างกัน บนฐานความเชื่อว่าแต่ละคนอาจตีความต่างกันได้ โดยไม่มีผิด ไม่มีถูก ยกเว้นที่เข้าใจผิดจริงๆ
เมื่อทดลองใช้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการตีความแล้ว ก็หมั่นสังเกต วัด เพื่อตรวจสอบผล และจดบันทึกไว้ ในบางกรณีอาจถ่ายรูปไว้ เอาวิธีการ และผลที่ได้ของแต่ละคนมา ลปรร. กัน เพื่อยกระดับความรู้ขึ้นไปอีก
ในสภาพปัจจุบัน เรามักจะเชื่อความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ทันที และคิดใช้ความรู้นั้นแบบสูตรตายตัว ใช้เหมือนๆ กัน โดยไม่คิดที่จะตีความโดยใส่บริบทของตนเองลงไป เราถูกสอน หรือชักจูง หรือบังคับ ให้เชื่อความรู้เชิงวิทยาศาสตร์แบบเชื่อพระเจ้า คือไม่ตั้งข้อสงสัย ไม่คิดจะตีความ พฤติกรรม หรือความเชื่อเช่นนี้ผิด ทำให้คนบางคนคิดไปว่าความรู้เชิงวิทยาศาสตร์เป็นปฏิปักษ์กับบรรยากาศที่เป็นอิสระ และเป็นอุปสรรคต่อ KM
วิจารณ์ พานิช
๒ สค. ๔๙
ไม่มีความเห็น