มองในมุมหนึ่ง KM คือกระบวนการทำให้ความรู้ส่วนตัว ที่ "ฝังกลบดิน" อยู่ โผล่ออกมาสร้างคุณค่าและมูลค่า แก่องค์กร แก่พนักงาน (บุคคล) และแก่สังคม/ชุมชน อันเป็นส่วนรวม
ความรู้ส่วนตัวเหล่านี้ เป็นคล้ายๆ สินแร่ที่อยู่ใต้ดิน ถ้าไม่มีการขุดขึ้นมาและถลุงแร่นำไปใช้ประโยชน์ ก็เหมือนไม่มีอะไร
KM เป็นเครื่องมือ "ขุด ถลุง และใช้" แร่ความรู้ในคนเหล่านั้น
แต่มองอีกที กระบวนการ KM ยิ่งใหญ่กว่าการทำเหมืองแร่มากมายหลายชั้น เพราะว่าเหมืองแร่เมื่อทำแล้วแผ่นดินบริเวณเหมืองกลายเป็นที่ร้าง แต่กระบวนการ KM ยิ่งทำ "ดินยิ่งดี" และ "แร่ (ความรู้) ยิ่งอุดม" คือความรู้ยิ่งเพิ่มพูนและยกระดับ เป็นการเพิ่มพูนและยกระดับอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเชื่อว่าจะยกระดับสู่ "ภพภูมิ" ใหม่ (new order)
ที่สำคัญ แทนที่ความรู้ (ปฏิบัติ) ในคน จะอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ก็จะเข้ามารวมตัวกันและก่อเกิดในสภาพใหม่ เป็นความรู้ขององค์กร เป็นความรู้ที่รวบรวมเอามาตีความใหม่ผ่านการร่วมกันปฏิบัติงานและเรียนรู้ร่วมกันในองค์กร
ความรู้ส่วนบุคคลเมื่อผ่านกระบวนการ KM และกลายเป็นความรู้ขององค์กร (ที่ไม่ใช่ผลบวกของความรู้ส่วนบุคคล) แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ความรู้ส่วนบุคคลแต่ละคนจะเพิ่มขึ้น ยกระดับขึ้น ลุ่มลึกขึ้น ละเอียดประณีตขึ้น และที่สำคัญ มีลักษณะ "พร้อมใช้มากขึ้น" เท่ากับว่า KM ได้ทำให้ความรู้เพิ่มพูนและยกระดับทั้งที่เป็นความรู้ในปัจเจก และความรู้ในองค์กร
ที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ความรู้ แต่เป็นความสัมพันธ์ KM จะสร้างความสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างปัจเจกด้วยกัน และระหว่างปัจเจกกับองค์กร
เป็นความสัมพันธ์แบบลึกในระดับหัวใจ แสดงออกมาเป็นความเคารพซึ่งกันและเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน
วิจารณ์ พานิช
๒๐ สค. ๔๙
เริ่มเขียนที่ห้างแมคโครแจ้งวัฒนะ เขียนเสร็จที่บ้าน
ไม่มีความเห็น