storytelling ที่สนุกและมีพลังต้องการ "ใจ" ทั้งจากส่วนผู้เล่าและผู้ฟัง สิ่งที่เราต้องการจากเรื่องเล่า คือวิธีการ หรือความรู้ปฏิบัติ สำหรับเอาไปปรับใช้ต่อ หรือเพื่อกระตุ้น "ปิ๊งแว้บ" ไปสู่การริเริ่มใหม่ๆ ในงานของผู้ฟัง และบางครั้งผู้เล่าเองนั่นแหละ ที่เกิด "ปิ๊งแว้บ" ขึ้นจากเหตุการณ์ของการเล่าเรื่องและการซักถามโต้ตอบ
บรรยากาศของการสื่อสารด้วย "ใจ" เป็นตัวกระตุ้นพลังสมองส่วน "ปัญญาญาณ" (intuition) ให้ทำงาน การสื่อสารจากใจถึงใจนี้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างคน ความรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับในความคิดเห็น ในคุณค่า ความรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเล่า หรือแสดงความคิดเห็นจะได้รับการยอมรับ ความรู้สึกว่าตนสามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ ไม่ต้องกังวลเรื่อง ถูก-ผิด ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ตรงกับความเชื่อของผู้อื่น ความมั่นใจอันเกิดจากสิ่งที่ตนเล่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จะทำให้ผู้เล่าเล่าเรื่องได้อย่างเห็นจริงเห็นจัง
การสื่อสารแบบ "ไร้เสียง" ของเหล่าผู้ฟัง ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบสุนทรียสนทนา การสื่อสารแบบ "ไร้เสียง" ได้แก่ การฟังอย่างสงบ ไม่ทำอย่างอื่น แววตาท่าทางที่แสดงความสนใจ ดื่มด่ำ การจ้องหน้าผู้เล่า และสีหน้าที่แสดงออก การยิ้ม เสียงหัวเราะ คำอุทาน น่าจะถือได้ว่าเป็น "การสื่อสารแบบไร้เสียง"
การสื่อสารแบบมีเสียง สื่อสารด้วยถ้อยคำ ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และถ้าการสื่อสารสองแบบนี้ (แบบไร้เสียง กับแแบถ้อยคำ) ผสมผสานกันอย่างสอดคล้องกลมกลืน บรรยากาศของการเล่าเรื่อง - สุนทรียสนทนา ก็จะได้ทั้งสาระและบันเทิง
ประโยคทองของการสื่อสารแบบถ้อยคำ เพื่อกระตุ้นด้วยความชื่นชม ต่อผู้เล่า คือ "พี่ (น้อง) คิดได้ไง" คำนี้คุณพินิจ นิลกัณหะ แห่ง กฟผ. โรงไฟฟ้าแม่เมาะ เป็นผู้เน้นต่อที่ประชุมวิชาการจัดการความรู้ ครั้งที่ ๒๒ เมื่อวันที่ ๑๗ พย. ๔๙ "พี่คิดได้ไง" เป็นถ้อยคำสั้นๆ ที่เมื่ออุทานออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ จะแสดงความชื่นชม และเป็นคำถามหาที่มาที่ไปของการกระทำ หรือวิธีการในเรื่องเล่านั้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับที่ไม่ใช่ตื้นๆ แค่เทคนิค แต่ลึกลงไปในระดับความคิด ความเชื่อ หรือระดับปัญญา
KM เน้นความรู้ปฏิบัติ แต่ถ้าเราทำ KM เป็น เราจะไปถึง "ปัญญาปฏิบัติ"
สู่ "ปัญญาปฏิบัติ" ด้วยคำถาม (หรือคำอุทาน) "พี่คิดได้ไง"
วิจารณ์ พานิช
๑๘ พย. ๔๙
ไม่มีความเห็น