ในการประชุมวิสามัญ มสส. (มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์) เมื่อวันที่ ๒๙ ธค. ๔๙ ศ. นพ. ประเวศ วะสี แนะนำวิธีนำเอา KM ไปใช้เป็นเครื่องมือดำเนินการพัฒนาจิตใจ หรือสุขภาวะทางจิตวิญญาณของคนทั้งชาติ ผมจึงนำมาบอกต่อ ที่จริงผมเอามาตีความ แล้วบอกต่อ
ต้องเริ่มด้วยวิธีคิดที่ถูกต้องก่อนครับ โดยคิดว่า การดำเนินการพัฒนาจิตใจ ที่ได้ผลดีนั้น มีอยู่แล้ว และมีอยู่ในหลากหลายบริบท หลากหลายพื้นที่ หลากหลายกลุ่มคน มสส. (โดย นพ. ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เป็นผู้จัดการแผนงาน) ไม่ต้องเอาเงินไปให้ทุนหาคนมาทำโครงการหรือกิจกรรมใหม่อีก มสส. ต้องลบภาพความเป็น granting agency ออกไปโดยเร็ว เพราะจะหมดแรงอยู่กับการพิจารณาโครงการ (เหมือนกับที่ผมลบภาพการเป็น granting agency ของ สคส. เมื่อ ๔ ปีก่อนเปี๊ยบ)
กิจกรรมที่ มสส. ดำเนินการเพื่อการพัฒนาจิตใจคนทั้งสังคม คือ KM & Social Communication
ทำ KM โดยเสาะหาความสำเร็จที่มีอยู่แล้วในสังคมไทย (ด้านการพัฒนาจิตใจ) เชื้อเชิญ และส่งเสริมให้ ลปรร. และเป็นเครือข่ายกัน แล้ววิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้เหล่านั้นยกระดับขึ้น สื่อสารความรู้เรื่องกิจกรรมพัฒนาจิตใจ ทั้งความรู้ระดับปฏิบัติ และความรู้จากการสังเคราะห์ตีความยกระดับ ออกไปสู่สังคมวงกว้าง สร้างความชื่นชมยินดี และสร้างความชื่นชมคุณค่าในมิติของความสุขด้านจิตวิญญาณ ขึ้นในสังคมไทย ให้เกิดเป็นกระแสขึ้นในสังคม
เป้าหมายของการดำเนินการ จะเน้นที่เด็กและเยาวชน (ทั้งในและนอกสถานศึกษา) และที่หน่วยงานในระบบสุขภาพและผู้มาใช้บริการหรือเครือข่าย ผมจึงเสนอให้ มสส. ทำงานร่วมกับภาคีที่ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว โดย มสส. เอาความรู้เข้าไปเสริม และทำงานเชิงวิชาการต่อยอดความรู้จากความรู้ปฏิบัติ ผมแจ้งข้อมูลว่า มูลนิธิสยามกัมมาจลก็จะสนับสนุนการเชื่อมโยงเครือข่ายด้าน youth development มีเป้าหมายหวังว่าจะสร้าง "เยาวชนพันธุ์ใหม่" ที่มีจิตสำนึกใหม่ เน้นที่สำนึกสาธารณะ อาศัยการทำงานอาสาสมัครเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นและประโยชน์สาธารณะในการขัดเกลาจิตใจของตนเอง มูลนิธิสยามกัมมาจล จะทำงานเชื่อมโยงเยาวชนเหล่านั้น สร้างกระแสใหม่ ค่านิยมใหม่ ขึ้นในสังคมไทย มสส. กับ มูลนิธิสยามกัมมาจล จึงสามารถเป็นภาคีกันได้
ที่จริงงานนี้ก็คือส่วนหนึ่งของเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่กำลังหารือกับ ดร. ประพนธ์ ในการนำเอา KM ไปเป็นเครื่องมือ ขับเคลื่อนสังคมที่มีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างพอเพียง อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ทอดทิ้งกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
วิจารณ์ พานิช
๓๐ ธค. ๔๙
งานด้านเยาวชน กำลังเป็นปัญหาเกี่ยวกับระบบให้การศึกษา การดูแลของสังคม โดยข้อเท็จจริงแล้วเด็กส่วนใหญ่รู้สึกอ้างว้างเขว้งขว้างอย่างมาก
ระบบในโรงเรียน ครู ผู้บริหาร เอาเวลาไปทำในเรื่องความก้าวหน้าของตนเอง และยุ่งอยู่กับการหาเศษหาเลย ลอยแพเด็ก เมื่อทำจนอุณหภูมิเพิ่มขึ้น เด็กเริ่มไม่ทนอยู่กับสภาพนี้
แกก็จะลอยเพครู ลอยแพโรงเรียน ลอยแพการเรียนรู้
ออกไปแสวงหาโลกที่เขาเอื้ออาทรเด็กอกหักทั้งหลาย เช่นสื่อต่างๆ กิจกรรมเชิงลบต่างๆ ยังไม่เห็นกลไกที่เข้มแข็งพอที่จะมารับเรื่องตรงนี้ได้
เด็กชนบทน่ากลัวมาก กินเหล้าขาว40ดีกรี ผสมเครื่องดื่มทั้งหญิงชาย เมามายข้างถนนให้เห็นบ่อยๆ ยังมีเรื่องยาเสพติด เรื่องเพศอีก นับวันจะสร้างวัฒนธรรมแก่นกระด้างมากขึ้น
บางโรงเรียนไม่มีครูคนไหนพูดกับเด็กให้เชื่อฟังได้เลย เพราะตัวอย่างที่ไม่ดีจากครูเองในโรงเรียนก็มาก โรงเรียนหลายแห่งเป็นแหล่งบ่มเพาะตัวอย่างที่ไม่ดี ผมว่าใครๆก็รู้แต่ไม่กล้าเตะ ปล่อยให้มันลุกลามต่อไปๆๆ เรื่องที่เล่านี้จะบานปลายมากขึ้นๆจนไม่อาจจะควบคุมได้ ถ้าคนที่รับผิดชอบอ่อนแอไม่ตั้งใจแก้ไขทั้งระบบ
ที่โรงเรียนประเมินไม่ผ่านเป็นหมื่นๆโรงนั่น เป็นลางบอกเหตุขี้ปะติ๋ว ยังมีเรื่องที่ปกปิดปกป้องกันอีกมากนัก ผมเกรงว่าพลังมูลนิธิทำเพื่อเด็กอาจจะไม่มีกำลังพอที่จะฝ่ากระแสเชี่ยวของสังคมวัยรุ่น
วันนี้ผมยังมองไม่เห็นว่า ใครจะเป็นเจ้าของเรื่องตัวจริง และมีแผนแม่บทที่ทรงพลังให้เกิดความร่วมมือกันอย่างจริงจัง
เรื่องเด็กนี่น่ากลัว แต่ก็น่าทำที่สุด