สิ่งที่ต้องระมัดระวังในการทำ KM คือการตกหลุมความผิวเผิน หลงหรือยึดติดรูปแบบ ไม่มีสาระ หรือมีสาระน้อย
ตอนเล่าเรื่อง ก็เอาทฤษฎีมาเล่า ลอกมาจากตำรา ไม่ได้เล่าจากประสบการณ์จริงของตน เล่าตามที่ตนคิดว่าเล่าแล้วหัวหน้าจะพอใจ ไม่ได้เล่ามาจากใจจริงของตน ไม่ได้เล่าจากของจริง บางกรณีก็เล่าเพื่ออวดภูมิรู้ของตน เหล่านี้เป็นความผิวเผิน
คนฟังก็เล่นละคร ชื่นชมของปลอม ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันปลอม มันหลอก หรือหลงเชื่อ หลงชื่นชมของปลอม โดยไม่รู้ว่ามันเป็นของปลอม หรือไม่ปลอมก็เป็นเรื่องผิวเผิน เรื่องพื้นๆ ไม่มีอะไรใหม่
เรื่องบางเรื่อง มองมุมหนึ่งอาจเป็นเรื่องพื้นๆ ไม่มีอะไรใหม่ แต่ถ้าพินิจให้ดี จะเห็นความรู้ที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ มักเป็นความลึกซึ้งในวิธีการเอาความรู้หรือเทคนิคไปประยุกต์ให้ถูกกาลเทศะ เพราะฉะนั้น การกล่าวหาว่าอะไรผิวเผินต้องระวังให้ดี อย่าไปกล่าวหาเขาง่ายๆ โดยไม่พินิจพิเคราะห์ให้ดีเสียก่อน
ความผิวเผินอาจเกิดจากไม่แสวงหาความรู้เชิงทฤษฎีมาใช้ หลงวนเวียนอยู่กับความรู้เก่าๆ ที่มีคนยกย่องให้เป็น "ภูมิปัญญา" ไม่ชวนกันคิดว่ามีวิธีที่เราคิดไม่ถึงบ้างไหม มีอยู่ที่ไหน ไปขอเรียนรู้ ไปฟัง ไปขอเรียนวิธีการ แล้วเอามาปรับใช้ หรือทดลองใช้ ไม่ได้เสาะหาผู้รู้เชิงทฤษฎี มาบรรยายหรือเล่าให้ฟัง และซักถาม ความผิวเผินแบบนี้เกิดจาก "ตกหลุมความพอใจอยู่กับวิธีการเดิมๆ"
ผิวเผินอยู่กับความรู้ที่แลกเปลี่ยนกันผ่านลมปาก ไม่มีการจดบันทึก หรือจดแล้วเก็บ ไม่เคยเอามาพิเคราะห์พิจารณาใคร่ครวญต่อ ไม่เคยเอาเรื่องราวที่เคยแลกเปลี่ยนกันมาไต่ถามกันอีก เพื่อทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้น
ผิวเผินกับการทำงานแบบไม่เตรียมตัว ไม่ละเอียดประณีต ทำเพียงให้เสร็จ ไม่คำนึงถึงคุณภาพของกิจกรรมแต่ละเรื่องแต่ละตอน
ผมมีความเห็นว่า สังคมไทยโดยส่วนใหญ่ตกหลุมความผิวเผิน ทำให้เราไม่เจริญ หรือแข่งขันสู้เขาได้ยาก เราต้องช่วยกันแก้ไขโรคร้ายนี้ -- โรคผิวเผิน KM เป็นยาชนิดหนึ่ง สำหรับใช้รักษาโรคผิวเผิน
วิจารณ์ พานิช
๒ มค. ๕๐
ขอบคุณมากครับอาจารย์ที่ได้นำเรื่องดีๆ มาเตือนสติ
โดยเฉพาะตัวผมเอง ซึ่งบางครั้งเราคิดว่าตัวเองทำดีแล้ว พอใจแล้ว ก็ทำให้เมินเฉยไม่สนใจเพิ่มเติม
ถ้าหากเราได้ลับสมอง เรียนรู้อยางต่อเนื่องจะทำให้เกิดปัญญาอย่างยิ่งครับ
ด้วยความเคารพ
อุทัย